Can't find topic? Find it here
Saturday, August 30, 2008
Life cycle costing(LCC)
Thursday, August 28, 2008
Japanese era calculator
By this way
Jimmu (50 AD)
Suizei Annei Itoku Kosho Koan (100 AD)
Korei Kogen Kaika (200 AD)
Sujin (219-249)
Suinin (249-280)
Keiko (280-316)
Seimu (316-342)
Chuai (343-346
Oojin (346-395)
Nintoku (395-427)
Richu (427-432)
Hanzei (433-438)
Ingyo (438-453)
Anko (453-456)
Yuryaku (456-479)
Seinei (480-484)
Kenzo (485-487)
Ninken (488-498)
Buretsu (498-506)
Keitai (507-531)
Ankan (531-535)
Senka (535-539)
Kimmei (539-571)
Bidatsu (572-585)
Yomei (585-587)
Sushun (587-592)
Suiko (592-628)
Jomei (629-641)
Kogyoku (642-645)
Kotoku (645-654)
Saimei (655-661)
Tenji (662-671)
Kobun (671-672)
Kemmu (673-686)
Jito (690-697)
Mommu (697-707)
Gemmei (707-715)
Gensho (715-724)
Shomu (724-749)
Koken (749-758)
Junnin (758-764)
Shotoku (764-770)
Konin (770-781)
Kammu (781-806)
Heizei (806-824)
Saga (823-842)
Junna (833-840)
Nimmyo (833-850)
Montoku (850-858)
Seiwa (858-876)
Yozei (877-884)
Koko (884-887)
Uda (887-897)
Daigo (897-930)
Suzaku (930-946)
Murakami (946-967)
Reizei (967-969)
Enyu (969-984)
Kazan (984-986)
Ichijo (986-1011)
Sanjo (1011-1016)
Go-Ichijo (1016-1036)
Go-Suzaku (1036-1045)
Go-Reizei (1045-1068)
Go-Sanjo (1067-1072)
Shirakawa (1072-1086)
Horikawa (1086-1107)
Toba (1107-1123)
Sutoku (1123-1141)
Konoye (1141-1155)
Go-Shirakawa (1156-1158)
Nijo (1159-1165)
Rokujo (1166-1168)
Takakura (1169-1180)
Antoku (1181-1183)
Go-Toba (1184-1198)
Tsuchimikado (1199-1210)
Juntoku (1211-1221)
Chukyo (1221-1221)
Go-Horikawa (1222-1232)
Shijo (1233-1242)
Go-Saga (1243-1246)
Go-Fukakusa (1247-1259)
Kameyama (1260-1274)
Go-Uda (1275-1287)
Fushimi (1288-1298)
Go-Fushimi (1299-1301)
Go-Nijo (1302-1308)
Hanazono (1309-1318)
Go-Daigo (1319-1338)
Go-Murakami (1339-1368)
Chokei (1369-1372)
Go-Kameyama (1373-1392)
Go-Komatsu (1392-1412)
Shoko (1413-1428)
Go-Hanazono (1429-1464)
Go-Tsuchimikado (1465-1500)
Go-Kashiwabara (1501-1526)
Go-Nara (1527-1557)
Oogimachi (1558-1586)
Go-Yozei (1587-1611)
Go-Mi-no-o (1612-1629)
Meisho (1630-1643)
Go-Komyo (1644-1654)
Go-Saiin (1655-1662)
Reigen (1663-1686)
Higashi-yama (1687-1709)
Nakamikado (1710-1735)
Sakuramachi (1736-1746)
Momozono (1746-1762)
Go-Sakuramachi (1763-1770)
Go-Momozono (1771-1779)
Kokaku (1780-1816)
Ninko (1817-1846)
Komei (1847-1866)
Mutsuhito (1866-1912)
Yoshihito (1912-1926)
Hirohito (1926-1989)
Heisei(1989-present)
Example like 1945 A.D. you have to know the emperor Heisei and Hirohito ages periode equal them together. and then minus those equalize. and thencount the Emperor's reign. Example like you wanna know what time that Emperor are reign in 1944 Today is Heisei(19)2008 you have to 1945-2008=65 , So Heisei must be Hirohito so it must be Showa(46) So 1945= Showa(46)
Wednesday, August 27, 2008
Possibility+Body’s tip
Mostly our eyes are always faster than bullet. Tip is human body are always slower than eyes.
0.5 second, But anyway I confirm that You can train to be faster than that, But anyway the fastest of the world are 0.25 second of all ever.
One more thing is the sneezes are faster than the bullets while it launching out from the gun tubes.
Do you believes!?
Possibility + Blind man
Possibility part Blind man
Do you think the blind men are being able to dream?
If yes tell me the fact.
For me I said while He (Her) sleeping He (her) can’t dreaming by seeing the dream.
But! If while they sleeping. They can dream by listening.
But anyway If those people are deaf, and blind
Possibility
คนคิดฝันอะไรก็เป็นได้ แต่ ภาษาเขียนจะต้องมาก่อน ถ้าภาษาเขียน-พูดไม่มี คนเราจะหลับแล้วฝันเห็นภาพได้ใหม
หากได้ช่วยชี้แจงเหตุผลด้วยครับ
เป็นผม ผมบอกว่าไม่ได้เพราะว่าสมองจำเป็นต้องจดจำวัตถุโดยใช้ตา+จมูก+หู+ปากเพื่อจดจำวัตถุ
People are able to dream, But the language are the necessary to making the dream right!?
If yes tell me the fact.
For me I said it can’t because the brain needs visibility to record the things by using the eyes, nose, ears, and mouth. To record things into the mind.
Saturday, August 23, 2008
Intellect
ท่อแห่งความรู้ทางโลก
The Tube of Intellect
ในบทก่อน ดิฉันได้พูดถึงคุณเอกกับคุณโทยืนอยู่ ณ จุดเอ ในขณะที่คุณเอกสามารถรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ได้นั้น คุณโทกลับทำให้แผ่นกระดาษสีขาวนั้นกลายเป็นประตู และเขาก็เดินเข้าไปในท่อแห่งความรู้ทางโลกนั้น ยืนอยู่ในท่ามกลางความคิดและความรู้มากมาย วันนี้ ดิฉันจะเน้นเรื่องท่อแห่งความรู้ทางโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างความคิด คำพูด และภาษา
ก่อนเข้าเรื่อง คุณต้องทราบก่อนว่า ความคิด คำพูด และภาษาเป็นเรื่องเดียวกันหมด แต่ต่างขั้นตอนเท่านั้น คำพูดและภาษาเป็นผลของความคิด หรือ จะพูดว่า ความคิดก็คือ คำพูดที่อยู่ในหัวนั่นเอง เมื่อต้องการสื่อสารเสียงที่อยู่ในหัว มันจึงออกมาเป็นคำพูดซึ่งก็คือภาษาต่าง ๆ นั่นเอง เช่น วัตถุลูกกลม ๆ ที่คนไทยเรียกว่า ลูกบอล นั้น สามารถเรียกมันได้ถึงร้อยกว่าภาษา ขึ้นอยู่ที่วัฒนธรรมภาษาที่คุณอยู่ แต่ร้อยกว่าภาษาที่พูดออกมานั้นก็ล้วนเป็นสื่อแทนความคิดหนึ่งเดียวในหัวอันเป็นผลของการเห็น “ลูกบอล” หนึ่งลูกที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น
คุณคงอยากรู้ว่า แล้วความคิดของลูกบอลมาได้อย่างไร มันก็มาจากผัสสะนั่นเอง ทุกครั้งที่คุณเห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น รส และสัมผัส ซึ่งเรียกใหม่ว่า “โลกภายนอกหรือจักรวาลภายนอก” สิ่งเหล่านั้นก็เดินผ่านสะพานที่เป็นคู่สร้างคู่สมของมัน ทำให้โลกภายนอกเข้าถึงโลกภายในของเราได้ โลกภายนอกเหล่านั้นจึงถูกลดลงเหลือสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง (นาม) คือ กลายเป็นความจำ ความคิด ความรู้สึก ที่เนื่องกับลูกกลม ๆ ที่เห็นนั้น ในบทที่หนึ่ง ดิฉันได้พูดแล้วว่า ไอน์สไตน์เป็นนักฟิสิกส์คนแรกที่ยืนขึ้นมาพูดอย่างสง่าผ่าเผยว่า มวลกับพลังงานเป็นสิ่งเดียวกันแต่ต่างรูปแบบเท่านั้น
e=m
energy = mass
ซึ่งเป็นหัวใจหลักของสูตร e=mc2 ที่นำมาสร้างพลังงา่นมหาศาล การค้นพบเรื่องความเหมือนกันของพลังงานกับมวลสารนี้สามารถนำมาอธิบายความรู้เรื่อง “รูปนาม” ของพระพุทธเจ้าได้อย่างเหมาะเจาะ ราวกับว่าพระพุทธเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ก่อนไอน์สไตน์เสียด้วยซ้ำไป ดิฉันจะนำคำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาเรียงให้คุณเห็นอย่างชัดเจน ดังนี้
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส = รูปธรรม = โลกภายนอก = จักรวาลภายนอก = รูป = m
ความคิด ความจำ ความรู้สึก = นามธรรม = โลกภายใน = จักรวาลภายใน = นาม = e
ฉะนั้น การเห็นลูกบอลจนก่อให้เกิดความคิดเรื่องลูกบอลจึงเป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อคุณแม่เห็นใบหน้าของลูกน้อย ได้ยินเสียงลูกร้องไห้หรือหัวเราะ ได้กลิ่นแป้งเด็กบนตัวลูก ได้สัมผัสความอ่อนนุ่มนวลเนียนของผิวหนังลูก จึงมีความคิด ความจำ ความรู้สึกที่เกี่ยวกับลูกน้อยที่ไร้เดียงสาของคุณ คุณจะเห็นได้ว่า ผัสสะและความคิดจึงเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ต่างรูปแบบกันเท่านั้น ฉะนั้น คำพูดและภาษาของคุณแม่ที่เกี่ยวข้องกับลูกจึงเป็นเรื่องเดียวกันด้วย จะได้สมการดังนี้
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส (ผัสสะ) = ความคิด ความจำ ความรู้สึก
คำพูด ภาษา = ความคิด ความจำ ความรู้สึก
โลกภายนอก, จักรวาลภายนอก = โลกภายใน, จักรวาลภายใน
รูปธรรม = นามธรรม
รูป = นาม
Mass = energy
การรู้ว่ารูปกับนามเป็นสิ่งเดียวกันเช่นนี้ คุณสามารถเรียนรู้โลกภายในของมนุษย์ที่จับต้องไม่ได้โดยผ่านสิ่งที่คุณจับต้องได้ นั่นคือ รูป หรือ มวล เช่น หากคุณต้องการรู้ว่า คน ๆ นี้เขาคิดและรู้สึกอะไร อย่างไร คุณต้องไปดูที่คำพูด และ ภาษาของเขา เหมือนชายหนุ่มที่เป็นโรคจิตที่นั่งรถไปกับดิฉัน หากเขาไม่ยอมพูดอะไรเลยแล้ว ดิฉันจะอ่านสภาวะจิตใจของเขาไม่ได้ว่า จิตใจของเขาอยู่ใกล้ไกลจุดปกติมากแค่ไหน แต่ถ้าเขาได้พูดแล้ว และถ้าพูดมากด้วย ดิฉันจะอ่านความคิด ความจำ ความรู้สึกของเขาได้ดีมากขึ้น เราจึงมักพูดว่า สายตาของมนุษย์เป็นหน้าต่างของจิตใจ จริงมากทีเดียว สายตาคนเป็นเรื่องของรูป mass เราสามารถอ่านความคิด ความรู้สึก ซึ่งเป็นเรื่องนาม energy โดยผ่านสายตาของคนที่เราพูดด้วยว่าเขามีความจริงใจกับเรามากแค่ไหน ฉะนั้น คนที่ไม่พูด หรือ พูดน้อย เราจะอ่านจิตใจของเขาได้ยาก
จึงสรุปได้ว่า เราสามารถตัดสินความซับซ้อนของความคิดและความรู้สึก หรือ จิตใจของคนได้โดยการดูที่ภาษาและคำพูดของเขา การคิดค้นทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของความคิดใหม่ ๆ ที่ซับซ้อนนั้นย่อมทำให้คำพูดและภาษามีความซับซ้อนมากขึ้น
จิตใจไม่ซับซ้อนอยู่หลักนิ้วที่ ๔[1]
เมื่อคุณเห็นวัตถุกลม ๆ และต้องการสื่อสารบอกใครสักคน คุณก็ค้นหาในกล่องความจำของคุณ คุณจำได้ว่าสิ่งกลม ๆ นี้เขาเรียกอะไร คุณจึงออกเสียงเรียกสิ่งกลม ๆ นั้นว่า “ลูกบอล” ทันทีที่คุณเรียกสิ่งที่คุณเห็นด้วยการเรียกชื่อเท่านั้น คุณก็ได้เข้ามายืนอยู่ที่หลักนิ้วที่ ๔ ของท่อแห่งความรู้นี้แล้ว
หลักนิ้วที่ ๔ จะเป็นตัวแทนของกลุ่มบุคคลที่มีจิตใจเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน อาจเป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยรับการศึกษาในระบบการศึกษาใด ๆ มาก่อน อาจจะยังเขียนไม่ออก อ่านไม่ได้ เช่น จิตใจของเด็ก ๆ คนอยู่ชนบทที่ทำอาชีพพื้นฐาน เช่น ชาวไร่ ชาวนา กรรมกร รวมทั้งคนที่อยู่กับป่าเขาลำเนาไพร อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ คนเหล่านี้จิตใจของเขาไม่ซับซ้อน เพราะ ไม่ได้อ่านมาก จึงไม่มีความทรงจำมาก เมื่อรับผัสสะอะไรแล้ว ในหัวจึงไม่มีการปรุงแต่งวิเคราะห์มาก รู้เท่าที่จำเป็นต้องรู้อันเนื่องกับการดำรงอยู่รอดของชีวิตประจำวัน การสื่อสารของเขาจะทำด้วยภาษาที่ง่าย ๆ
เมื่อลูกชายคนกลางของดิฉันที่ชื่อ เอ็นดู อายุได้สามขวบนั้น วันหนึ่งดิฉันซื้อแปรงสีฟัน ๕ อันเพื่อให้สมาชิกทั้ง ๕ ของครอบครัว เห็นลูกตื่นเต้น ดิฉันจึงหยิบแปรงสีฟันทั้งหมดให้ลูกเิอ็นดูไปเล่นก่อน ลูกชายเอาไปเรียงไว้บนพื้นโดยให้อยู่แนวเดียวกันหมด และแล้ว เธอก็เอานิ้วชี้เล็ก ๆ ชี้ไปที่แปรงสีฟันแต่ละอัน ในขณะที่ชี้นั้น ลูกก็พูดตามไปว่า
“แปรงสีฟัน แปรงสีฟัน แปรงสีฟัน แปรงสีฟัน แปรงสีฟัน”
การพูดเช่นนั้นของลูกเอ็นดูเป็นผลจากกล่องความทรงจำที่เล็กนั่นเอง ภาษาของเขาจึงง่าย ๆ ในขณะที่ลูกชายอายุ ๕ ขวบของดิฉัน จะพูดว่า
“แม่ซื้อแปรงสีฟัน ๕ อัน”
ซึ่งเป็นภาษาที่ซับซ้อนมากขึ้น คำว่า ๕ อันนี้จะต้องเกิดจากการคิดและการบวกเลข คุณจะเห็นความแตกต่างระหว่างภาษาของเด็ก ๆ ที่ยังเรียนอนุบาลอยู่ กับเด็กที่เรียนชั้นประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย คุณโตมากขึ้นเท่าไร ภาษาของคุณก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นอันเนื่องจากจิตใจที่ซับซ้อนนั่นเอง คุณจึงสามารถสังเกตความซับซ้อนของจิตใจคนในสังคมได้โดยการดูภาษาของสังคมนั้น หากภาษาซับซ้อนมาก จิตใจของคนก็ซับซ้อนตามไปด้วย
ใครยืนอยู่ที่ไหน
ฉะนั้น เราจะมาใช้ระดับการศึกษาและอาชีพของคน ซึ่งเป็นฝ่ายรูป mass เป็นตัวแปรตัดสินความซับซ้อนของจิตใจคนซึ่งเป็นฝ่ายนาม energy โดยสมมุติกันอย่างคร่าว ๆ ว่า ใครยืนอยู่ที่ไหนในท่อแห่งความรู้นี้ จึงสมมุติว่า
- หลักนิ้วที่ ๔ แทนคนที่ไม่ได้จบการศึกษาภาคบังคับ
- หลักนิ้วที่ ๕ แทนคนที่จบการศึกษาภาคบังคับในชั้นมัธยมปลาย
- หลักนิ้วที่ ๖ แทนคนที่เรียนปริญญาตรีที่เริ่มจับความรู้เฉพาะอย่าง
- หลักนิ้วที่ ๗ แทนคนเรียนปริญญาโท ที่เน้นความรู้เฉพาะอย่างมากขึ้น
- หลักนิ้วที่ ๘ แทนคนเรียนปริญญาเอก ที่เน้นความรู้เฉพาะอย่างมากขึ้นไปอีก
- หลักนิ้วที่ ๙ แทนกลุ่มปัญญาชนผู้เป็นชนชั้นกลางที่ทำงานในตำแหน่งผู้นำไม่ว่าระดับใดระดับหนึ่งที่ต้องใช้ความคิดมาก แม้กลับบ้านแล้ว ควรจะหยุดคิดเรื่องงานและพักผ่อนกับครอบครัวได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดี ยังคงคิดติดพันอยู่ เช่น นักการเมือง ครู ผู้บริหาร ผู้พิพากษา ทนาย อัยการ หมอ นักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
- หลักนิ้วที่ ๑๐ แทนจิตใจของนักคิด นักเขียน นักประพันธ์ ผู้มีอาชีพอยู่บนตัวหนังสือ รวมทั้งจิตใจของอัจฉริยะทั้งหลายที่ต้องคิดมาก คิดซับซ้อนและคิดลึก นักวิทยาศาสตร์รวมทั้งนักประดิษฐ์คิดค้นทั้งหลายที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็จัดอยู่ในกลุ่มคนที่ยืนอยู่ ณ หลักนิ้วนี้
ขอให้คุณเข้าใจว่านี่เป็นเพียงการจัดกลุ่มแบบคร่าว ๆ เพียงให้คุณมองเห็นภาพเท่านั้น
ชาวนาในประเทศที่เจริญแล้วอย่างยุโรปและอเมริกา สภาวะจิตใจของเขาคงจะไม่ได้อยู่หลักนิ้วที่ ๔ แน่นอน เพราะส่วนมากมักจบปริญญาในสาขาเกษตรกรรม ฉะนั้น จึงจัดอยู่ในระดับ ๗ ถึง ๙ ก็ยังได้ วัยรุ่นที่เีรียนชั้นมัธยมอาจจะสามารถคิดได้ซับซ้อนลึกซึ้งเหมือนระดับอัจฉริยะ ฉะนั้น จึงจัดอยู่ในระดับหลักนิ้วที่ ๑๐ ได้
สาเหตุของการจัดกลุ่ม
ถึงแม้ได้พูดมาแล้วทุกบท ก็ยังขอเน้นอีกว่าขณะนี้สังคมมนุษย์กำลังหลงทางเป็นอย่างมาก massive misdirection of life ไม่รู้ว่าตนเองต้องการเดินไปทิศทางไหน เหนือ ใต้ ออก ตก กำลังก้าวหน้าหรือถอยหลัง เจริญหรือตกต่ำ รุ่งเรืองหรือใกล้จะล่มจม จึงเกิดความสับสนวุ่นวายในจิตใจของคนหมู่มากจนก่อให้เกิดปัญหาสังคมที่ซับซ้อนและกลับมาสร้างความทุกข์ให้แก่คนมากขึ้นไปอีก สร้างวงจรอันเลวร้ายที่ออกได้ยากยิ่ง
นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ว่าทำไมเราจำเป็นต้องรู้จุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาลตามที่ไอน์สไตน์พูดถึง หากไม่มีจุดปกติอย่างแท้จริงใช้เป็นมาตรฐานการวัดแล้ว เราจะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรที่ไม่ปกติ ถ้าไม่รู้ค่าสมบูรณ์ เราจะไม่รู้ค่าที่ไม่สมบูรณ์ เด็กที่เกิดมาในยุคนี้ที่เห็นแต่ปัญหาวุ่นวายในสังคมและศีลธรรมที่เสื่อมโทรมอยู่เป็นอาจิณ เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่และไม่เคยเห็นอะไรที่ดีกว่านี้ให้เปรียบเทียบแล้ว เขาจะต้องคิดว่า ความสับสนวุ่นวายและความทุกข์ของสังคมเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลก ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้น เพราะสังคมที่ปกติมากกว่านี้เคยมีอยู่ วัฒนธรรมสติปัฏฐานคือ สังคมที่ใกล้เคียงความปกติจริง ๆ [2]
ฉะนั้น การรู้เรื่องจุดปกติหรือสัจธรรมหรือพรมแดนสุดท้ายของจักรวาลจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งในบทก่อน ดิฉันก็ได้สมมุติจุด ก และการรับผัสสะอย่างประสบการณ์เอกหรือผัสสะบริสุทธิ์ให้เป็นพรมแดนสุดท้ายหรือจุดปกติของชีวิต บทนี้จึงเป็นเรื่องต่อเนื่องจากบทที่แล้ว การเห็นกลุ่มบุคคลที่ติดอยู่ในท่อแห่งความรู้ทางโลกเช่นนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจนว่าใครอยู่ที่ไหน ณ จุดไหนและห่างไกลจากจุด ก หรือจุดปกติของชีวิตมากแค่ไหน หากต้องการเดินทางกลับสู่สภาวะปกติแล้ว จะต้องเดินไกลแค่ไหน อย่างไร คุณจึงสามารถตัดสินตนเองได้จากการเปรียบเทียบในบทนี้
จึงขอให้เข้าใจว่าการจัดกลุ่มคร่าว ๆ ดังกล่าวข้างต้น เป็นการแยกแยะสภาวะที่ซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ที่ไม่จำกัดแต่ความรู้ทางโลกอย่างเดียว คนที่คิดมาก โดยเฉพาะคิดเรื่องกำไร ขาดทุน เรื่องได้ เรื่องเสีย ก็เป็นตัวแปรที่สามารถวัดสภาวะจิตใจที่ขึ้นลงจากน้อยไปหามาก ก็เปรียบเหมือนการยิ่งมุดลึกเข้าไปในท่อที่มืดมิดนี้เช่นกัน เช่น เมื่อได้เงินมาก ๆ ก็ดีใจอย่างสุดขีด เมื่อต้องสูญเสียเงินทองจำนวนมากด้วยสาเหตุใดก็ตาม จิตใจก็จะตกฮวบอย่างสุดขีดเช่นกันจนบางคนต้องฆ่าตัวตาย คุณเท่านั้นที่รู้จักจิตใจตนเองดีกว่าคนอื่นว่ามีความยุ่งยากซับซ้อนและทุกข์มากแค่ไหน ฉะนั้นคุณก็สามารถจัดตนเองให้อยู่ในระดับที่คุณคิดว่าเหมาะสมได้
ขอให้เข้าใจอีกด้วยว่า กลุ่มคนที่อยู่ตั้งแต่หลักนิ้วที่ ๔ ถึง ๑๐ นี้ เหมือนกับข้อเปรียบเทียบของเส้นหนังยางที่บิด ๔ รอบถึง ๑๐ รอบในบทที่สามที่ดิฉันพูดเรื่องจิตใจปกติ กลุ่มคนเหล่านี้คือ ผู้ยังไม่รู้เรื่องพรมแดนสุดท้ายของชีวิต ไม่รู้เป้าหมายของชีวิตในแง่ที่ต้องหาจุดปกติว่ามันคืออะไร ต้องไปถึงได้อย่างไร เป้าหมายชีวิตของคนเหล่านี้จึงถูกตัดทอนลงเหลือเรื่องการแสวงหาความรู้ทางโลกให้มากที่สุด เพื่อใช้ความรู้นั้นเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความสำเร็จให้แก่ชีวิตในเรื่องการงาน การเงิน เกียรติยศ ชื่อเสียง และอำนาจ ซึ่งเปรียบเหมือนการเดินลึกเข้าไปในท่อแห่งความรู้นี้ อันมีทางตันเป็นที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติที่ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ เพราะคนหมู่มากเห็นและทำเหมือนกันหมด ยกเว้นคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งของสังคมที่ทำต่างออกไป เพราะรู้ว่าค่านิยมเหล่านั้นไม่ปกติ จึงต้องการแสวงหาความปกติที่แท้จริง อันเป็นเนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้
การเลี้ยวกลับ
ทีนี้ลองหันกลับมาดูที่หลักของสามนิ้วแรกว่ามันเป็นตัวแืทนของคนกลุ่มไหน ในท่ามกลางคนจำนวนมากมายที่ติดอยู่ในท่อแห่งความรู้นี้ จะมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งไม่จำกัดว่าเป็นเพศหญิงหรือชาย หนุ่มสาวหรือแก่เฒ่า ฉลาดหรือไม่ค่อยฉลาด รวยหรือจน มีสถานะสูงส่งหรือต่ำต้อย มีอำนาจหรือไม่มีอำนาจ ไม่เป็นปัญหาเลย กลุ่มคนเหล่านี้ แทนที่ต้องการเดินลึกเข้าไปในท่อแห่งความรู้เหมือนคนหมู่มากของสังคม เขากลับไม่ทำเช่นนั้น
สาเหตุเป็นเพราะนี่เป็นกลุ่มคนที่ได้เรียนรู้จากการอ่านหนังสือของคนรู้จริง เช่น พระพุทธเจ้า และสาวกผู้รู้ตามของท่านอย่างแท้จริง จึงตระหนักชัดว่า การไขว่คว้าหาความสำเร็จทางโลกนั้นมิใช่หนทางที่จะช่วยให้ดับทุกข์และเป็นสุขมากขึ้น กลับจะพบทางตันของชีวิตต่างหาก เมื่อรู้แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่ยอมเดินลึกเข้าไปในท่อแห่งความรู้นี้ จึงเลี้ยวกลับเพื่อต้องการเดินทางออกจากท่อแห่งความมืดมนนี้และกลับออกมาที่จุด ก อันเป็นพรมแดนสุดท้ายหรือจุดปกติของชีวิตตามที่ผู้รู้จริงได้แนะนำไว้
ฉะนั้น จากการศึกษาหาความรู้จากผู้รู้จริงในเรื่องชีวิต โลก และจักรวาล การศึกษาในแนวทางของศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเดินทางไปสู่เป้าหมายปลายทางของชีวิตจึงเกิด คนที่สามารถวกกลับมายืนอยู่ที่หลักนิ้วที่ ๓ คือ กลุ่มบุคคลที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ที่ดิฉันได้แนะนำไว้ในคู่มือชีวิตภาคศีลธรรมและกฎแห่งกรรม นั่นคือ
๑. พยายามรักษาศีล ๕ อย่างดีที่สุด
๒. ฝึกหัดการให้และเสียสละในทุกรูปแบบ
๓. ทำตัวเรียบง่าย ไม่ยุ่งยาก
๔. ไม่กลัวตาย
๕. เชื่อกฎแห่งกรรม และ การเวียนว่ายตายเกิด
ใครทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ไม่ว่าก่อนหน้านั้นจะยืนอยู่ที่หลักนิ้วที่ไหนก็ตาม ล้วนสามารถเดินวกกลับมาถึงหลักนิ้วที่ ๓ แล้วทั้งสิ้น หากเปรียบเทียบกับการบิดของเส้นหนังยาง จากที่เคยบิด ๔ รอบหรือมากกว่านั้น หนังยางก็ถูกบิดกลับเหลือการบิดเพียง ๓ รอบเท่านั้น ทุกคนที่ได้อ่านเรื่องนี้จึงสามารถตัดสินตนเองได้ว่าจะต้องเดินทางไกลแค่ไหนเพียงใดเพื่อกลับมาสู่หลักนิ้วที่ ๓ นี้
หลักนิ้วที่ ๒ ต้องฝึกวิปัสสนา
การเดินทางต่อไปยังหลักนิ้วที่ ๒ หรือคลายเส้นหนังยางให้เหลือเพียง ๒ บิดนั้น ผู้เดินทางจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการฝึกสติปัฏฐานสี่หรือการพาตัวใจกลับบ้าน โดยเริ่มต้นที่เครื่องมือพื้นฐานของชีวิตก่อน ต้องยอมรับว่ามนุษย์มีอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจเท่าเทียมกันหมด และรู้จักใช้เครื่องมือพื้นฐานหรือตาใจมองจุดกำหนดต่าง ๆ ที่ครูบาอาจารย์ทางวิปัสสนาได้สอนไว้ เช่น ใช้ตาใจดูลมหายใจ ดูการเคลื่อนไหวของกายซึ่งเปรียบเหมือนการพาตัวใจกลับบ้านที่หนึ่ง และการใช้ตาใจดูความรู้สึกของกาย เช่น เย็น อุ่น ร้อน อ่อน แข็ง นุ่ม เจ็บ ระบม เป็นต้น ซึ่งเป็นการพาตัวใจกลับบ้านที่สอง ใครที่สามารถทำได้เช่นนี้ในชีวิตประจำวันก็เท่ากับกำลังเดินทางจากหลักนิ้วที่ ๓ มาสู่หลักนิ้วที่ ๒ แล้ว จิตใจของคนเหล่านี้จะมีความคิดที่เป็นขยะน้อยลง ความคิดฟุ้งซ่านจะมีน้อยลง ความทุกข์ในใจก็จะน้อยตามไปด้วย จะสามารถมีสติอยู่กับงานที่ตนเองกำลังทำอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ถ้าใช้ข้อเปรียบเทียบของการขับรถไฟชีวิตที่จะพูดถึงในบทต่อไปแล้ว ก็หมายความว่า การเดินจากหลักนิ้วที่สามไปสู่หลักนิ้วที่สองเป็นขั้นตอนที่คนขับรถไฟขบวนชีวิต พยายามจะขับรถไฟของตนให้ได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนแรก หรือ ขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ จะเรียกว่า รถไฟขบวนสงบสุขก็ได้ ผลที่ได้คือ คนที่เดินทางอยู่ในขั้นตอนนี้ จิตใจจะสงบมากขึ้น อันเป็นผลจากการฝึกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านนั่นเอง
เริ่มเรียนรู้โลกภายในของตนเอง
หลังจากที่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนารู้จักใช้ตาใจของตนเอง ซึ่งเป็นระหว่างการเดินทางจากหลักนิ้วที่สามเพื่อมุ่งสู่หน้าประตูของท่อที่มืดมนและกลับสู่บ้านเดิมที่จุด ก นั้น การเรียนรู้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในจิตใจของตนเองจึงเกิดขึ้นอย่างมโหฬาร และเป็นวิธีการเรียนรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะมีการใช้อายตนะพื้นฐานคือ ตาใจ เป็นผู้ดู หรือ ผู้สังเกตการณ์เหมือนการใช้ตาเนื้อดูปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของโลกภายนอก ซึ่งคนอยู่หลักนิ้วที่ ๔ ถึง ๑๐ จะใช้ตาใจไม่เป็น แม้มีอยู่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตาใจจึงเหมือนถูกปิดไว้
ผู้ใช้ตาใจเป็นจึงเริ่มรู้จักปรากฏการณ์ในส่วนที่ไม่มีรูปร่าง (นาม) อันคือ ความคิด (สังขาร) ความจำ (สัญญา) และ ความรู้สึก (เวทนา) ซึ่งดิฉันได้รวบให้มันเป็นคำเดียวคือ จิต หรือ เจอรี่
ความคิด ความจำ ความรู้สึก = จิต = เจอรี่ = ผ้าปิดตาใจ
ความรู้สึกตัว (วิญญาณขันธ์) = ตัวใจ หรือ ตาใจ = ทอม
สภาวะจิตใจ
ก่อนหน้าการเรียนรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์เช่นนี้ ทุกคนจะใช้ตาใจมองโลกภายนอกโดยผ่านกรอบของความคิดและความรู้สึกของตนเองหรือจิตซึ่งเหมือนผ้าปิดตาใจ ดังในรูป
ใจจิต---à กาย ---à เห็นโลกภายนอกตามกรอบความคิดของตน = มองอย่างคนตาบอด
การมองโลกโดยผ่านความคิดเช่นนี้จึงเปรียบเหมือนการเดินไปสู่ทางตันของอุโมงค์ที่มืดมิดนี้ คนที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนา เขาจะไม่มีทางเลือกอื่นในการมองโลกภายนอก คือ ไม่สามารถที่จะไม่มองโลกโดยผ่านความคิด จำเป็นต้องมองโลกภายนอกโดยผ่านความคิดเพียงถ่ายเดียว เพราะ จิตกับใจเหมือนเป็นแม่เหล็กต่างขั้วที่ดูดเข้าหากัน สภาวะของจิตกับใจจึงติดกันเหมือนเป็นสภาวะเดียวเท่านั้น การเขียนคำว่า “จิตใจ” ติดกันในภาษาไทยเราจึงเป็นผลของสภาวะ “จิตใจ” อย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยภาษาไทยเรายังใช้สองคำมาควบติดกัน จึงพอรู้บ้างว่า มันเป็นคนละธาตุ คนละขันธ์กัน แต่ปัญญาชนฝรั่งจะดูไม่ออกเลย เพราะเขาใช้คำว่า mind เพียงคำเดียว และยังมีคำอย่างเช่น consciousness, soul ซึ่งถ้าไม่มีการแยกแยะอย่างเป็นระบบตามที่พระพุทธเจ้าแยกในเรื่อง ขันธ์ ๕ แล้วละก็ การเรียนรู้เรื่องจิตใจอันเป็นธรรมชาติฝ่ายนามอย่างถูกต้องจะไม่เกิด นี่จึงเป็นเหตุผลใหญ่ที่นักการศึกษาฝ่ายตะวันตกจำเป็นต้องกวาดเรื่องจิตใจให้ไปรวมกับรูปที่สมอง เขาจึงเริ่มศึกษาจิตใจได้ แต่จะได้ความรู้ที่ถูกต้องหรือไม่นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
วิปัสสนาเหมือนการคว้านก้อนมะเร็ง
เมื่อมีการฝึกวิปัสสนาแล้ว จิตกับใจของผู้ปฏิบัติจะเริ่มหลุดร่อนออกจากกัน ซึ่งเป็นขั้นตอนของการเดินตามผู้รู้จริงอย่างพระพุทธเจ้าที่สอนเรื่องการหลุดพ้นจากความทุกข์ การดับทุกข์ที่แท้จริงก็คือ การพยายามทำให้จิตกับใจหลุดและพ้นออกจากกัน เพราะจิตคือตัวที่แบกทุกข์ จิตคือตัวที่เป็นแผล ตัวเจ็บป่วย หรือ ตัวผิดปกติ จึงต้องคว้านเอาส่วนที่เป็นปัญหาออกไปเหมือนหมอผ่าตัดคว้านเอาเนื้อร้ายที่เป็นมะเร็งออกจากร่างกาย การฝึกวิปัสสนาจึงเหมือนการทำลายพลังสนามแม่เหล็กที่มีอยู่ระหว่างจิตกับใจ เป็นการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง
ก่อนฝึกวิปัสสนา ร่างกายจิตใจหรือขันธ์ ๕ ของมนุษย์เป็นเช่นนี้
ตัวใจจิต ---------à ตัวกาย ---------à ผัสสะไม่บริสุทธิ์, ชีวิตไม่ปกติ
เมื่อมีการฝึกวิปัสสนา จิตกับใจจะเริ่มหลุดร่อนออกจากกัน เมื่อมีสติพาตัวใจกลับบ้านได้ จิตกับใจก็หลุดออกจากกัน แต่เมื่อตัวใจไม่อยู่ติดบ้าน ไปติดความคิด จิตกับใจก็ดูดเข้าหากันอีก จึงอยู่คาบเกี่ยวกันระหว่างผัสสะบริสุทธิ์กับไม่บริสุทธิ์ จึงใช้ชีวิตที่ปกติบ้างหรือไม่ปกติบ้าง
ตัวใจ <-----à จิต ---à ตัวกาย ----à ผัสสะ (ไม่) บริสุทธิ์, ชีวิต(ไม่) ปกติ
อยู่อย่าง ๕ ขันธ์ก็ได้ อยู่อย่าง ๒ ขันธ์ก็ได้
ผู้หลุดพ้นจากความทุกข์แล้วเช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก จิตกับใจจะหลุดร่อนออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดแล้วละก็ ขันธ์ ๕ จะเหลือเพียง ๒ ขันธ์ คือ กาย (รูปขันธ์) กับ ใจ หรือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (วิญาณขันธ์) ขอให้เข้าใจว่า ความคิด (สังขารขันธ์) ความจำ (สัญญาขันธ์) ความรู้สึก (เวทนาขันธ์) มีธรรมชาติของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หายไปเหมือนการเกิดของรุ้งกินน้ำ พยับแดด กับภาพเหมือนในกระจก ปัจจัยมี มันก็เกิด ปัจจัยเปลี่ยนมันก็หายไป ผู้หลุดพ้นแล้วจึงมีปัจจัยที่สามารถทำให้ ๓ ขันธ์นี้หายไปได้เหมือนการหายของรุ้งกินน้ำโดยการรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด ก็เข้าสู่โลกที่บริสุทธิ์หรือโลกนิพพานทำให้ ๓ ขันธ์นั้นร่องหนไปก่อน จึงเหลือเพียง ๒ ขันธ์เช่นนี้
ตัวใจ ----à ตัวกาย ---à ผัสสะบริสุทธิ์, ใช้ชีวิตที่ปกติธรรมดา, ถึงนิพพาน
แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ความคิด เช่น ต้องสื่อสารเพราะยังอยู่ร่วมกับสังคม ต้องสอนให้คนพ้นทุกข์ ต้องเขียนหนังสือ ก็สามารถสร้างปัจจัยเพื่อเรียก ๓ ขันธ์นั้นกลับคืนมาได้ ใช้เสร็จก็สร้างปัจจัยให้มันร่องหนหายไปอีก ผู้หมดปัญหาชีวิตจึงสามารถใช้ความคิดอย่างเป็นอิสระ เป็นการใช้ความคิดอย่างไม่มีพลังสนามแม่เหล็กเหลืออีกแล้ว เพราะได้ถูกทำลายหมดแล้ว สามารถรับผัสสะบริสุทธิ์ได้แม้ใช้ความคิดอยู่ จะใช้ความคิดก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ เหมือนทอมเอาหนูเจอรี่มาใช้งาน เมื่อใช้งานเสร็จ ก็ปล่อยหนูเจอรี่ออกจากบ้านไปอย่างว่าง่าย บ้านของใจจึงว่างจากความคิดได้ง่าย ๆ หรือ จะเปรียบเทียบว่า ตัวใจออกจากบ้านไปทำธุระ เสร็จธุระแล้วก็พาตัวใจกลับบ้าน กลับมาเป็นตัวของตัวเอง กลับเข้าบ้านนิพพานอีก จึงได้รูปเช่นนี้
ตัวใจ --à จิต --à ตัวกาย ---à ผัสสะบริสุทธิ์, ยังคงใช้ชีวิตที่ปกติธรรมดา, ถึงนิพพาน
เริ่มรู้จักการถูกครอบงำ
ผลจากการฝึกทักษะเรื่องพาตัวใจกลับบ้านนี้เอง ผู้เดินทางจะเริ่มเห็นพลังของจิตหรือเจอรี่ว่ามันมีมากมายมหาศาลเพียงใดในแง่ที่เป็นนายเหนือตัวใจหรือแมวทอม ผู้ปฏิบัติจะเห็นสภาวะมืดมิดหรือหมดอิสรภาพเมื่อ “ตัวใจ” ถูก “จิต” ครอบงำ เหมือนเอาแว่นตาดำติดกาวหนา ใส่แล้วดึงไม่ออกทั้ง ๆ ที่รู้สึกรำคาญสายตามาก อยากเอาเจ้าแว่นตาดำออกเสีย จะได้เห็นอะไรชัด ๆ ตามสีที่มันเป็นจริงสักหน่อย ก็ทำไม่ได้ จิตที่ครอบงำใจยังสามารถเปรียบเหมือนแมวทอมถูกหนูเจอรี่ที่ถือฆ้อนใหญ่ ๆ มาทุบตีเอา ทอมที่อ่อนแอจึงเป็นทาสรับใช้ของเจอรี่ที่แข็งแรงกว่าไปทั้งชาติ ผู้ฝึกจะเห็นได้ชัดว่า เจอรี่สามารถสั่งงานแมวทอมเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของบ้านใจเรา ซึ่งที่จริง ไม่ควรเป็นเช่นนั้นถ้ารู้จักวิธีให้อาหารชีวจิตและวิตามินแก่แมวทอม เมื่อทอมแข็งแรงมากกว่าหนูอันธพาลเจอรี่แล้ว เจอรี่จะถอยทัพเอง่
จิตมีธรรมชาติเป็นมายา
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เดินทางหรือผู้ปฏิบัติวิปัสสนาจะเริ่มมองออกคือ รู้ว่าความคิดและความรู้สึกของมนุษย์มีลักษณะเป็นมายา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ หายไป เหมือนการเกิดขึ้นของรุ้งกินน้ำ พยับแดด และภาพเหมือนในกระจก เหตุผลที่เจอรี่สามารถบังคับให้แมวทอมผู้เป็นเจ้าของบ้านใจนี้ทำในสิ่งที่ตนเองสั่งโดยเฉพาะเรื่องตามใจกิเลส เป็นเพราะเจอรี่มีความสามารถในการหลอกลวงแมวทอมนั่นเอง เพราะถูกหลอกจึงยอมทำตาม
ทุกครั้งที่เจอรี่หลอกและสั่งงานแมวทอมได้สำเร็จ จิตกับใจจะถูกดูดติดกันเสมอ เพราะมีการคิด จึงเกิดผลเป็นคำพูดและการกระทำทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว แต่เจอรี่อันธพาลมักครอบงำตัวใจของมนุษย์มากกว่าเจอรี่ที่เป็นมิตร เพราะปัญหาสังคมล้วนเป็นผลของความคิดฝ่ายดำหรือเจอรี่อันธพาลที่เกิดในใจก่อน จึงเกิดการกระทำที่สร้างความทุกข์ให้คนหมู่มากได้เช่นนี้
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้เดินทางกลับบ้านเดิมไม่สามารถเข้าใจได้ก่อนการปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ แต่เมื่อใช้ตาใจเป็น จึงเห็นหมด จึงเข้าใจได้ถูกต้องว่า คนหมู่มากของสังคมล้วนถูกความคิดของตนเองหลอกลวงเอาและสูญเสียอิสรภาพทางจิตใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทั้งสิ้น จึงเข้าใจตัวเอง เริ่มเห็นตัวจริงของตนเอง เริ่มเข้าใจปัญหาสังคม เข้าใจโลก เข้าใจจักรวาลที่เราอยู่
เดินไปสู่ทางออก
เมื่อตระหนักชัดถึงผลเสียของสิ่้งที่จิตหรือเจอรี่สามารถทำกับตนเอง (ตัวใจ) แล้ว ผู้ปฏิบัติก็จะมุ่งมั่นพาตัวใจกลับบ้านเสมอ ซึ่งเป็นการต่อสู้กับศัตรูในสนามรบที่ถูกต้อง fighting in the right battlefield เมื่อมีการต่อสู้ห้ำหั่นกับศัตรูหรือเจอรี่ในบ้านของใจแล้ว การเดินทางไปข้างหน้าย่อมเกิด ตราบใดที่มีการฝึกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านอย่างสม่ำเสมอ ทำด้วยความอดทน ไม่ท้อถอยแล้ว ความก้าวหน้าของการปฏิบัติจะเกิดเองอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ เพราะยังมีความทุกข์อยู่
ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเห็นการก่อตัวของความคิดได้ชัดเจนขึ้น สามารถหยุดความคิดไม่ให้หลอกหลอนตนเองได้เร็วขึ้น การควบคุมจิตใจตนเองจึงทำได้ดีขึ้น ตอนไหนที่ทำไม่ได้ก็จะเป็นทุกข์
การเข้าสนามรบห้ำหั่นกับกองทัพของหนูเจอรี่ก็จะเป็นไปเช่นนี้นานนับปี เจอรี่จะเริ่มอ่อนกำลังลง เจอรี่ซึ่งเคยเป็นคนบงการให้ทอมทำงานรับใช้ตนอย่างหัวปักหัวปำนั้นกลับกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามเสียแล้ว ทอมกลับมาเป็นผู้ใช้งานเจอรี่แืทน ทำให้ผู้เดินทางมีจิตใจมั่นคง มีความสุข สงบ มากขึ้น จิตใจไม่ขึ้นลงมากเหมือนที่เคยเป็น เริ่มรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง สามารถกอบกู้ “ตัวจริง ๆ ของเรา” หรือ “ความเป็นปกติ” ของชีวิต กลับคืนมา เริ่มมีความหวังต่อชีวิตมากขึ้น
รายละเอียดของหลักนิ้วที่ ๑
เมื่อมีการพาตัวใจกลับบ้านอย่างสม่ำเสมอนานนับปี ผู้เดินทางก็จะค่อย ๆ เดินทางมาถึงช่วงแรกของหลักนิ้วที่ ๑ ถึงตอนนี้ ตาใจของนักปฏิบัติจะมีความคมชัดมากขึ้นจนสามารถเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดในโลกภายในได้อย่างชัดเจน จะเห็นการก่อตัวของความเป็นมายาของความคิดได้ชัดมากขึ้น และสามารถทำลายภาพมายาของความคิดได้อย่างทันท่วงที การทำศึกสงครามกับกองทัพของเจอรี่ก็ยังมีอยู่ แต่อยู่ในลักษณะที่ได้เปรียบเจอรี่แล้ว
เพราะเห็นพิษสงและฤทธิ์เดชของเจอรี่ ผู้ปฏิบัติจะมีความรู้สึกว่าอยากจะเอาชนะกองทัพของเจอรี่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียที จะได้ยุติสงครามภายในสักที ถึงจุดหนึ่ง ผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานสี่จะมีความรู้สึกว่าอยากหลุดพ้นให้หมดเรื่องหมดราว จะได้หมดทุกข์กันเสียที เพราะเบื่อการต่อสู้เต็มทีแล้ว อยากเป็นฝ่ายชนะสงครามภายในให้รู้แล้วรู้รอด
การปฏิบัติที่ถูกทางในพระพุทธศาสนา ย่อมประกอบด้วย การมี มรรค ผล นิพพาน ผู้ปฏิบัติถึงจุดนี้จะมีทั้งมรรคและผล มรรคคือการเฝ้าดูความคิด การพาตัวใจกลับบ้าน ผลคือ ความรู้สึกที่สุข สงบ เพราะการคลายตัวของความคิดเมื่อตัวใจอยู่ติดบ้านหรือฐานของสติเช่นลมหายใจ การเคลื่อนไหวของกาย แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติยังรู้สึกขาดแคลนอยู่คือ พระนิพพาน ยังไม่รู้ว่าพระนิพพานคืออะไร อยู่ที่ไหน
ประสบการณ์ภายในเหล่านี้คือ สิ่งที่อาจจะเกิดกับบุคคลที่ปฏิบัติสติปัฎฐานสี่และเดินทางมาถึงช่วงแรกของหลักนิ้วที่ ๑
เริ่มเดินลงเขา
การเดินทางในช่วงหลังของหลักนิ้วที่ ๑ นี้จะเป็นการเดินลงเขาแล้ว หลังจากที่ได้ต่อสู้กับกองทัพหนูมานานหลายปีนั้น เจอรี่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว ทอมได้กลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้กองทัพหนูพ่ายแพ้อย่างยับเยิน หนูเจอรี่เริ่มวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนทันทีที่เห็นทอม นี่เป็นช่วงเวลาที่การปฏิบัติจะเป็นอัตโนมัติ สติของผู้ปฏิบัติจะไวมาก สามารถเห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของความคิดได้เสมอ สามารถดีดความคิดออกจากใจโดยไม่ต้องต่อสู้มากนัก เปรียบเหมือนแมวทอมนั่งอยู่ที่มุมห้อง เมื่อเห็นเจอรี่วิ่งเข้ามาในบ้านคราใด ก็ไม่ต้องลุกขึ้นวิ่งให้เหนื่อยเพื่อไปตะปบเจอรี่เหมือนที่ต้องทำในอดีตแล้ว บัดนี้ มีความสามารถใหม่ ๆ คือ สามารถยืดเท้าไปตะปบเจอรี่อย่างง่ายดายทั้ง ๆ ที่ยังนั่งเกยคางนอนอยู่มุมห้องอย่างผ่อนคลาย ผู้ปฏิบัติจะมีสติอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ในยามตื่น ตัวใจจะมีสติเฝ้าดูการทำงานของความคิดตลอดเวลา และจะสามารถแยกแยะออกว่า ความคิดไหนควรใช้มันและความคิดไหนไม่ควรเสียเวลากับมันเลย
การเดินทางในช่วงหลังนี้จึงเหมือนกับไม่มีอะไรต้องทำมากแล้ว เพราะได้ทำทุกอย่างที่ต้องทำ คือ มีสติอยู่กับฐานเสมอ ฉะนั้น จึงเหลือแต่การนั่งคอยวันที่จะออกจากท่อแห่งความมืดมนนี้อย่างถาวรเท่านั้น แต่เป็นการคอยแบบไม่ต้องคอย ใครที่ทำได้เช่นนี้ ก็เท่ากับได้มายืนอยู่ที่ส่วนหลังสุดของหลักนิ้วที่ ๑ แล้ว กำลังจะรอออกประตูหน้าเพื่อกลับมายืนอยู่ที่จุด ก อันเป็นพรมแดนสุดท้ายของจักรวาลอย่างถาวรเท่านั้น
“ยูริก้า!”
ในที่สุด เวลาของการรอคอยก็จะมาถึง เมื่อมีการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ แม้จะเชื่องช้าเพียงใด ไม่เป็นไร การถึงจุดหมายปลายทางย่อมเกิดเองอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนน้ำย่อมไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ตะวันย่อมเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาจะมีขณะหนึ่งของชีวิตที่คาดไม่ถึง จู่ ๆ ตัวใจของผู้เดินทางจะหลุดและพ้นจากจิตอย่างสิ้นเชิง เห็นตนเองถูกดีดกลับออกมายืนที่จุด ก อันเป็นพรมแดนสุดท้ายของจักรวาลอย่างทันทีทันใด จึงสามารถเห็นทุ่งโล่งที่กว้างใหญ่ไพศาล เห็นท้องฟ้าที่ถูกปูด้วยพรมปักด้วยกลุ่มดาวระยิบระยับ จึงรู้ทันทีว่าโลกใหม่ที่เห็นนี้แตกต่างจากโลกเก่าที่เพิ่งละจากมาอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย โลกเก่ามืดมิดด้วยอวิชชา โลกใหม่สว่างจ้าเฉิดฉายด้วยแสงแห่งปัญญา
จากการอ่านประสบการณ์ของผู้มีประสบการณ์เช่นนี้ ทุกคนจะมีปฏิกิริยาที่เหมือนกัน คือ ไม่เชื่อว่าในจักรวาลจะมีสภาวะนี้อยู่ จึงล้วนร้องออกมาอย่างงงงันเหมือนอาร์คีมีดีสร้องว่า “ยูริก้า” หรือ “ฉันรู้แล้ว” คือ รู้ว่า
๑. สภาวะนี้คือ สัจธรรมอันสูงสุดที่ไม่มีอะไรไปเหนือได้อีกแล้ว
๒. ตัวใจได้เดินทางมาถึงพรมแดนสุดท้ายของชีวิตแล้ว ได้พบตัวจริง ๆ ของตนเองที่มีแต่ความเป็นปกติธรรมดา ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แปลกประหลาด พิสดารเหมือนที่เคยคิดไว้ จึงรู้ว่า คนอื่นคาดการณ์สภาวะนี้ไว้ผิดหมดด้วยความที่ยังไม่ได้เดินทางถึงพรมแดนสุดท้ายของชีิวิตด้วยตนเอง เหมือนคนที่มีเล็บติดเนื้ออยู่ตลอดชีวิต จะไม่มีวันรู้จักสภาวะของเล็บที่อยู่แยกจากเนื้อ เหมือนคนที่ไม่เคยไปภูกระดึง จะไม่สามารถบรรยายความสวยงามของภูกระดึงได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
๓. ตนเองได้กลายเป็นผู้รู้ตามพระบรมศาสดาแล้ว
ต้องให้ปริญญาตัวเอง
สัจธรรมอันสูงสุดจะต้องเป็นความรู้ที่เด็ดขาดและเบ็ดเสร็จอยู่ในตัว เป็นสภาวะที่มีคำตอบอยู่ในตัวมันเอง จึงเป็นสัจธรรมสูงสุดได้ เพราะ เจ้าของความรู้นี้จะถามคนอื่นไม่ได้แล้วว่าความรู้นี้ใช่สัจธรรมหรือไม่ ไม่มีคนให้ถามแล้วนอกจากพระบรมศาสดาซึ่งท่านก็ไม่ได้อยู่ให้ถามได้ สิ่งที่เหลือให้ถามคือ ตัวสัจธรรมเอง ความรู้ในระดับยูริก้านี้จึงต้องมีความเด็ดขาดและให้คำตอบในตัวมันเองได้ จึงเป็นความรู้ที่ผู้เข้าถึงแล้วต้องออกใบปริญญาให้ตนเอง ต้องสามารถรับประกันตัวเองได้ ไม่มีทางอื่น ใครที่เห็นจริงก็จะรู้จริงจากสภาวะที่ตนเห็นอยู่ ใครที่ยังไม่เห็นก็ไม่มีคำตอบจากสภาวะที่เด็ดขาด จึงยังรู้ไม่จริงแม้จะมีความรู้เรื่องอื่น ๆ มากมายก็ตาม
คนที่สามารถเดินทางมายืนอยู่ที่จุด ก ได้อย่างถาวรนี้ จำเป็นต้องรู้ข้อมูลที่สำคัญอันยิ่งยวดเหล่านี้ จึงจะสามารถเป็นผู้นำทางให้แก่คนเดินทางที่หลงทิศชีวิตทั้งหลายได้ เพื่อพาพวกเขากลับบ้านเดิม หรือ พาคนที่ติดอยู่ในอุโมงค์อันมืดมิดออกมาสู่ทุ่งโล่งที่มีแสงสว่างอันเจิดจ้าของปัญญา
ทำไมอัจฉริยบุคคลจึงชอบงานเรียบง่าย
หลายปีก่อน ดิฉันได้มีโอกาสดูสรรคดีเรื่องหนึ่ง เป็นการติดตามชีวิตของชายสามสี่คน ทุกคนล้วนจัดอยู่ในกลุ่มที่มีไอคิวระดับสูงมากในวัยเด็ก จึงล้วนมีความสามารถพิเศษไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในขณะที่สังคมคิดว่าเด็ก ๆ ที่ชาญฉลาดในระดับอัจฉริยะเหล่านี้จะเติบโตขึ้นมาและมีงานที่อยู่แวดวงของปัญญาชนในสถาบันการศึกษาที่สูงส่งนั้น ข้อเท็จจริงกลับกลายเป็นว่า คนฉลาดมากเหล่านี้กลับมายึดอาชีพของช่างไม้บ้าง ช่างซ่อมท่อประปาบ้าง เป็นชาวนาที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในชนบทบ้าง หรือเป็นพ่อครัวทำอาหารบ้าง
ที่จริงแล้ว นี่มิใช่เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดเลย ข้อเปรียบเทียบของท่อความคิดอันเป็นภูมิปัญญาฝ่ายโลกนี้ จะสามารถอธิบายถึงสาเหตุที่ว่าทำไมคนในระดับอัจฉริยะเหล่านี้จึงเลือกที่จะทำงานเรียบง่ายที่สังคมมักจะให้คุณค่าว่าเป็นงานต่ำ เพราะคนที่มีไอคิวสูงเหล่านี้รู้ข้อเท็จจริงว่า เมื่อประตูแห่งความรู้หนึ่งเปิดออกนั้น มันเพียงเปิดให้เราก้าวไปสู่อีกประตูหนึ่งที่อยู่ถัดไปเท่านั้นเอง และก็เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่เป็นเรื่องการขบคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการของสมองแล้วไซร้ การแก้ปัญหาที่แท้จริงจะไม่เกิด ไอน์สไตน์พูดเองว่า
“เราต้องไม่บูชาภูมิปัญญาฝ่ายโลกเหมือนมันเป็นพระเจ้า เพราะมันเหมือนกล้ามเนื้อที่แข็งแรง แต่ขาดบุคลิกที่ดี”
คนที่มีไอคิวยิ่งสูงจนถึงระดับอัจฉริยะนั้นจึงเปรียบเหมือนเขาได้เดินเข้าไปถึงสุดท่อของความคิดและเห็นกำแพงก่อนคนอื่น เมื่อได้พบทางตันของความคิดแล้ว ย่อมเป็นธรรมชาติอยู่เองที่จะต้องเดินเลี้ยวกลับมาตามท่อเพื่อออกมายืน ณ จุด ก อีก จึงเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องคิดซับซ้อนมาก ซึ่งมีความเอร็ดอร่อยมากกว่าการใช้พลังอำนาจของสมอง ไอน์สไตน์เป็นคนพูดเองว่า
“ถ้าผมสามารถเลือกใช้ชีวิตได้อีก คราวนี้ผมจะเลือกเป็นนายช่างซ่อมท่อประปา”
“โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว ผลไม้หนึ่งถาด และไวโอลินหนึ่งตัว จะมีอะไรอีกเล่าที่จะสามารถทำให้ชายคนหนึ่งมีความสุขมากกว่านี้”
คนที่เป็นอัจฉริยะเท่านั้นจึงจะเข้าใจผู้ที่เป็นอัจฉริยะด้วยกันได้ It takes a genius to understand a genius. นี่แหละคือ เหตุผลที่ว่าทำไม คนที่มีไอคิวสูงมากเหล่านี้จึงกลับมายึดอาชีพธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรตื่นเต้นเช่นนั้น
สรุป
คุณคงเห็นแล้วว่า หากไม่มีความรู้ในขั้นแตกหักที่บอกชัดเจนว่านี่คือ พรมแดนสุดท้าย หรือ สัจธรรมอันสูงสุด แล้ว การนำทางที่ถูกต้องย่อมไม่มี การเดินทางเพื่อให้ถึงเป้าหมายปลายทางของชีวิตที่แท้จริงย่อมไม่เกิด ความรู้ทุกอย่างจะเป็นการรู้อย่างสัมพัทธ์เป็นความรู้ที่เดินกลับไปมาอยู่ในอุโมงค์เท่านั้น ไม่มีการรู้อะไรที่จริงแท้เลย
แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะเดินวกกลับออกจากท่อความคิดอันตีบตันเพื่อค้นหาความปกติของชีวิตด้วยตนเองแล้วหรือยัง
Thursday, August 21, 2008
Einstien's theory
Einstein's Formula
Mass is a form of energy? In 1905, Albert Einstein (1873-1955) suggested that mass and energy are equivalent while developing his special theory of relativity. The famous mass-energy equivalence relation states that
It is difficult to show a simple logical path through which Einstein came to his equation. It was merely an hypothesis made by him from special relativity and Maxwell's equations. |
James Clerk Maxwell Portait by G. Lowes Dickinson/courtesy Caltech Archives. | Energy gain/loss in everyday examples can, however, hardly show any noticeable change in mass. This is because the total mass of an object changes only by a tiny fraction. To check Einstein's equation, we need something with tiny mass, so that an appreciable change in total mass can be measured. Radioactive decay, a nuclear reaction, is a choice. In fact, Einstein tested his own equation with a lump of radium salt to see if it lost weight as it gave off radiation. Today, the mass-energy equivalence relation has an important implication in nuclear industry. Full Resolution One of only three existing manuscripts (two of them are housed at the Albert Einstein Archives) which contain Einstein's famous formula, E=mc². Einstein's formula, which describes the relationship between energy (E), mass (m) and the speed of light (c), derives from Einstein's special theory of relativity. This theory postulates that time and space are relative - how we measure time and space depends on our state of motion relative to other observers. The formula E=mc² first appeared in an article by Einstein in 1905, using a different notation, and in 1907 he fully generalized the concept to the equivalence of mass and energy. The implication of the formula thus became that a small amount of matter could, in principle, be converted into a vast amount of energy. The realization of this principle in practice became a possibility in the 1930's with the discovery of nuclear fission, which led ultimately to the development of nuclear weapons. After the Second World War, Einstein's formula became synonymous with the nuclear age. The popular science magazine, Science Illustrated, asked Einstein to write this article. In his choice of the title, "The Most Urgent Problem of Our Time", Einstein alluded to his support for the nuclear disarmament movement. |
Azimuth
-360deg
to 360deg
. The value 0deg
is directly ahead of the individual, in the center of the sound stage. 90deg
is directly to the individual's right, 180deg
is directly behind him, and 270deg
(or, equivalently and more conveniently, -90deg
) directly to his left.left-side
270deg
.far-left
300deg
. When used with the keyword behind
, this value is equivalent to 240deg
.left
320deg
. When used with the keyword behind
, this value is equivalent to 220deg
.center-left
340deg
. When used with the keyword behind
, this value is equivalent to 200deg
.center
0deg
. When used with the keyword behind
, this value is equivalent to 180deg
.center-right
20deg
. When used with the keyword behind
, this value is equivalent to 160deg
.right
40deg
. When used with the keyword behind
, this value is equivalent to 140deg
.far-right
60deg
. When used with behind
, this value is equivalent to 120deg
.right-side
90deg
.leftwards
leftwards
is more accurately described as "turned counter-clockwise," since it always subtracts 20 degrees counter-clockwise, even if the inherited azimuth is already behind the listener (in which case, as a consequence of leftwards
, the sound actually appears to move to the right).rightwards
rightwards
is more accurately described as "turned clockwise," since it always adds 20 degrees clockwise, even if the inherited azimuth is already behind the listener (in which case, as a consequence of rightwards
, the sound actually appears to move to the left).inherit