Can't find topic? Find it here
Thursday, October 29, 2009
เรื่องที่ถูกคำนวณออกมาแล้วมันดูม่น่าเชื่อ
Thursday, August 27, 2009
10 สุดยอดคนอัจฉริยะของโลกที่ยังมีชีวิต


10.Elaina Smith
ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ
สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับ ความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า ” ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว”
9. Willie Mosconi
เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ
William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา “Mr. Pocket Billiards” (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม
ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool
8. Fabiano Luigi Caruana
แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด
Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพียง 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี
7. Michael Kevin Kearney
รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบ
และกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์
หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดใน โลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17 ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า “ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ” อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก
6.Saul Aaron Kripke
Harvard เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล
Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า “แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า” และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่
5.Aelita Andre
หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง
ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ
ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne’s Fitzroy Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป
4.Cleopatra Stratan
นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง
(47,000-48,000 บาท)
Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า”At the age of 3″ และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมา เนีย
http://www.youtube.com/watch?v=GDq-E708lHU
ลองเข้าไปฟังเพลงของเธอได้ ตามลิ้งค์ด้านบนเลยค่ะ ^ ^
3.Akrit Jaswal
ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า “เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก” เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง
ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน
2.Gregory Smith
ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุเพียง 12 ปี
Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจใน ระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ…มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ ซะทีนั่นเอง
1. Kim Ung-Yong
เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ
จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก
Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210 คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี
คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 – 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน
Friday, July 24, 2009
10 สุดยอดนักฟิสิกส์ของโลกตลอดกาล
นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ เกิด พ.ศ. 2414 ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2480 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี พ.ศ. 2451 จากผลงานเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี เป็นผู้ให้กำเนิดแบบจำลองอะตอมที่คล้ายระบบสุริยะ มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลาง (คล้ายดวงอาทิตย์) มีอิเล็กตรอนอยู่รอบนิวเคลียส แต่แบบจำลองอะตอมของรัตเทอร์ฟอร์ด เป็นแบบจำลองที่ยังไม่นำคุณสมบัติเชิงควอนตัมของอะตอมมาใช้ อิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบนิวเคลียสโดยยังไม่มีกรอบควบคุม ต้องรอนีลส์ บอหร์พัฒนาแบบจำลองอะตอมของรัตเทอร์ฟอร์ด ให้มีคุณสมบัติเชิงควอนตัมด้วย คืออิเล็กตรอนจะโคจรอยู่รอบนิวเคลียสอย่างมี เสถียรภาพได้เฉพาะบางวิถี โคจรเท่านั้น
อันดับ 9 : เออร์วิน ชโรดิงเจอร์ (Erwin Schrodinger)
นักฟิสิกส์ชาวออสเตรีย เกิด พ.ศ. 2430 ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2504 ติดอันดับสุดยอดนักฟิสิกส์โลกเท่ากับพอล ดิแรก คืออันดับ 8 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2476 สำหรับผลงานมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม เจ้าของชื่อ สมการคลื่นชโรดิงเจอร์ ซึ่งเป็นสมการคลื่นควอนตัม มีความสำคัญต่อนักฟิสิกส์ยุคควอนตัม พอๆ กับสมการว่าด้วยการเคลื่อนที่ (F = ma) ของนิวตัน
อันดับ 8 : พอล ดิแรก (Paul Dirac)
นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ เกิด พ.ศ. 2445 ถึงแก่ กรรมพ.ศ. 2527 เป็นผู้ที่รวมทฤษฎีสัมพัทธภาพภาคพิเศษ (special theory of relativity) เข้ากับทฤษฎีควอนตัมได้สำเร็จตั้งแต่ พ.ศ. 2471 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2476 จาก ผลงานเชิงทฤษฎีที่พยากรณ์ว่า อนุภาคทุกชนิด ล้วนมีปฏิอนุภาคเป็นคู่ เริ่มต้นจากปฏิอนุภาคของอิเล็กตรอน
อันดับ 6 : กาลิเลโอ (Galiieo)
นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี เกิด พ.ศ. 2107 ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2185 เป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวในโลก ที่ชื่อแรกของเขา (กาลิเลโอ) เมื่อมีการกล่าวถึง ก็เป็นที่เข้าใจกันทั่วโลกว่า หมายถึงเขา โดยไม่ต้องระบุชื่อ - นามสกุลเต็มว่า กาลิเลโอ กาลิเลอี ได้รับการยกย่องเป็นนักวิทยาศาสตร์เด่นที่สุด ที่นำวิทยาศาสตร์โลกให้ก้าวเข้าสู่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ หลังจากที่วิทยาศาสตร์โลกติดอยู่กับบ่วงเหล็ก ของวิทยาศาสตร์ยุคเก่ามานานกว่าหนึ่งพันปี บ่วงเหล็กของทฤษฎีเกี่ยวกับ จักรวาลว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
อันดับที่ 5 : เวิร์นเนอร์ ไฮเซนเบิร์ก (Werner Heisenberg)
นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน เกิดพ.ศ. 2444 ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2519 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ขณะมีอายุเพียง 31 ปี เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักความไม่แน่นอนที่มีชื่อของเขาอยู่ด้วยว่า Heisenberg uncertainty principle
นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก เกิด พ.ศ. 2428 ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2505 เป็นเจ้าของทฤษฎีแบบจำลอง (model) หรือ โครงสร้าง (structure) ของ อะตอม ที่รู้จักเรียกกันว่า แบบจำลองอะตอมบอห์ร (Bohr atomic model, Bohr atomic structure) ซึ่งเชื่อมโยงความคิดเชิงควอนตัมในเรื่องของการรับ และปล่อยพลังงานโดยอะตอมและตำแหน่ง ของอิเล็กตรอนที่โคจรรอบนิวเคลียสว่า ต้องเป็นควอนตัมคือ อยู่ได้เฉพาะบางวิถีโคจร (กำหนดโดยหลักการเชิงควอนตัม)
อันดับที่ 3 : เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ (James Clerk Maxwell) นักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์ชาวสก็อต เกิด พ.ศ. 2374 ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2422 ผลงานสำคัญคือ ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า รวมปรากฏการณ์หรือผลงานของเรื่องที่เป็นไฟฟ้า เข้ากับแม่เหล็ก
อันดับที่ 2 : ไอแซก นิวตัน (Isaac New-ton)
นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ เกิด พ.ศ. 2185 ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2272 ผลงานสำคัญเป็นพิเศษ คือทฤษฎีความโน้มถ่วง กฎสามข้อของการเคลื่อนที่ แคลคูลัส ความจริงนิวตันสนใจเคมีและใช้เวลาในการศึกษาเกี่ยวกับเคมี เขียน เรื่องราวเกี่ยวกับเคมีไว้มาก แต่มักจะไม่ได้รับการกล่าวถึง เพราะเป็นเคมียุคเก่า ที่เป็นเรื่องของอัลเคมี (เล่นแร่แปรธาตุ) ที่ไม่เป็นประโยชน์อีกต่อเคมียุคใหม่
นัก ฟิสิกส์ชาวเยอรมัน - สวิส - อเมริกัน เกิด พ.ศ. 2422 ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2498 ผลงานสำคัญมีมากมาย เช่น ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั้งภาคพิเศษและภาคทั่งไป ทฤษฏีปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect) ซึ่งเป็ฯผลงานที่ทำให้ได้รับราลวัล โนเบลประจำ ปี 2464 ทฤษฏีการเคลื่อนที่แบบบราน์ (Brownian motion)ฯลฯ
Monday, June 22, 2009
God and science(4)
หน้า: 4/4
ทฤษฎีการกำเนิดมนุษย์แฝงทัศนคติของศาสนาคริสต์
เป็นไปได้หรือที่มนุษย์เรามีความแตกต่างทางเชื้อสาย มีสีผิวที่แตกต่างกัน จะมีบรรพบุรุษคนเดียวกัน
จากการศึกษาของ Wells ได้พบว่ามนุษย์ทั้งโลกมีบรรพบุรุษคนเดียวกันอยู่บริเวณทวีปแอฟริกา
รหัส พันธุกรรม ทำให้เราทราบว่า มีการอพยพออกจาก แหล่งกำเนิดดั้งเดิมของมนุษย์เป็นระยะๆ เข้าสู่ถิ่นฐานใหม่ ซึ่งก็คือจุดกำเนิดของชนชาติต่างๆ
นอกจากนี้จากการศึกษาของ Haigh และ Maynard Smith ก็พบสิ่งซึ่งตรงกันว่าผู้ชายทั้งโลก ไม่ว่าผิวสีใด มีบรรพบุรุษร่วมกันหนึ่งเดียวคือ Adam
พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น”
แล้ว พระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่ พระองค์ทรงนำกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้ผิวหนังแนบสนิทเข้าด้วยกันดังเดิม ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงนำออกจากมนุษย์เพศชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น
Chromosome
การสร้างมนุษย์เพศหญิงขึ้นมาจากมนุษย์เพศชาย กับการสร้างมนุษย์เพศชายขึ้นมาจากมนุษย์เพศหญิงอันไหนง่ายกว่ากัน
ผู้หญิงมีโครโมโซม XX ผู้ชายมีโครโมโซม XY ทำให้โครโมโซมเพศหญิงเป็น subset ของเพศชาย
การสร้างมนุษย์เพศหญิงจึงง่ายกว่ามาก เพียงแค่นำ Chromosome X ออกมา และเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งตัวเท่านั้น
ดังนั้นการสร้างมนุษย์เพศชายก่อนแล้วจึงสร้างมนุษย์เพศหญิงจึงง่ายกว่ามาก
มนุษย์ทั้งโลกมาจากแม่คนเดียวจริงหรือ
การดูจาก Chromosome นั้นไม่สามารถวัดได้เพราะ ผู้หญิงนั้นมีโครโมโซม X 1 คู่ ตัวหนึ่งได้มาจากพ่อ อีกตัวได้มาจากแม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ได้ คือมีสิ่งหนึ่งที่มาจากแม่เสมอ นั่นคือ Mitochondrial DNA ซึ่งมีหน้าที่ทำหน้าเป็นปอดให้กับเซลล์
ใน Mitochondrial มี DNA ฝังอยู่ข้างใน ซึ่ง Mitochondrial นั้นมาจากผู้เป็นแม่เท่านั้น โดยติดมากับไข่ของแม่
Mitochondrial DNA
ด้วย สิ่งนี้เราจึงย้อนกลับไปหาฝ่ายแม่ได้ จากการศึกษาในปัจจุบัน ผลสรุปที่ออกมาคือ มนุษย์ทุกคนสืบเชื้อสายมาจากหญิงคนเดียวในอดีตนั่นคือ เอวา
และเมื่อนำอัตราการเกิด การ Mutation มาคำนวณเทียบกับความหลากหลายใน Mitochondrial DNA ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประมาณได้คร่าวๆว่า เอวา มีชีวิตอยู่เมื่อ 6,500 – 8,000 ปีก่อน
จริง หรือ? ที่มนุษย์ทั้งโลกถือกำเนิดขึ้นจากมนุษย์เพียงคู่เดียว คำถามที่ยังคงเป็นคำถามไร้ซึ่งคำตอบ ปริศนาดำมืดบนโลกยังมีอีกมากมาย วิทยาศาสตร์ใช่เป็นคำตอบของทุกสิ่ง กรอบความคิดที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่ออธิบายความเข้าใจที่ยังอยู่ห่างไกลนัก
God and science(3)
ฤดูกาลเกิดขึ้นเพราะโลกของเราเอียง 23 องศา ก่อให้เกิดความงดงามของฤดูกาลและความหลากหลายของชีวิต
ดวงจันทร์มีไว้ทำอะไร?
ดวง จันทร์ถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาแกนโลกให้สมดุล เพราะความที่ขนาดของดวงจันทร์มีขนาดพอดีๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปทำให้เกิดความสมดุลที่แกนโลก หากไม่มีดวงจันทร์แกนโลกของเราอาจจะขยับ และถ้าแกนโลกขยับ จะก่อให้เกิดภัยพิบัติทางฤดูกาลอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ดวงจันทร์ยังทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น น้ำลง ปรากฎการณ์นี้ช่วยเติม O2 ให้กับมหาสมุทร และทำให้สัตว์ทะเลดำรงชีพอยู่ได้ และเป็นความสำคัญอย่างสูงต่อห่วงโซ่อาหารทั้งโลก
ความมหัศจรรย์ของน้ำ
เมื่อ อุณหภูมิของน้ำลดลง มันจะจมลงข้างล่าง และเมื่อมันเย็นจัดจนกลายเป็นน้ำแข็งมันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ เพื่อรับความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ ปรากฏการณ์นี้ช่วยให้ก้นทะเลไม่เป็นน้ำแข็ง และสัตว์น้ำรอดชีวิต
แต่หากน้ำเย็นจนเป็นน้ำแข็งและยิ่งจมลง มหาสมุทรจะเริ่มเย็นจากข้างล่างขึ้นมาเรื่อยๆและสัตว์น้ำก็จะอยู่ไม่ได้
บรรยากาศของโลก
Atmosphere
โลก มีชั้นบรรยากาศหนา 25 กิโลเมตร พอดีๆ ซึ่งทำให้อุกาบาตที่ตกลงมาถูกเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศก่อนพุ่งชนโลก และเป็นเกราะป้องกันรังสีต่างๆ และทุกครั้งที่มีฟ้าผ่า จะทำให้ ไนโตรเจน รวมตัวกับ ออกซิเจน และตกลงสู่พื้นดินพร้อมกับฝน เป็นปุ๋ยอย่างดีให้กับพืช ดังนั้นฟ้าผ่าจึงไม่ได้มีไว้สาบานเท่านั้น ^^
หากชั้นบรรยากาศของโลกเบาบางกว่านี้จะทำให้ป้องกันรังสีและอุกาบาตได้ไม่ดี
หากชั้นบรรยากาศของโลกหนากว่านี้จะทำให้โลกกักเก็บความร้อนมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถอยู่ได้
ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นบนดวงอาทิตย์จะเกิด Solar Wind พัด เข้าสู่โลกด้วยความเร็ว 400 กิโลเมตรต่อวินาที พายุสุริยะจะกัดกร่อนชั้นบรรยากาศไปเรื่อยๆ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกจะถูกทำลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยป้องกันเราจากพายุสุริยะ นั่นคือสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งก่อให้เกิด Van Allen radiation belt ซึ่งป้องกันโลกจากพายุสุริยะ ทำให้เกิดการหักเหพัดพายุสุริยะไม่ให้ Solar Wind พัดเข้าสู่โลกโดยตรง และสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่งดงามนั่นก็คือ แสงเหนือหรือแสงใต้ (ขึ้นอยู่กับว่าเกิดขึ้นบริเวณขั้วโลกซีกเหนือหรือใต้) และทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกไม่ถูกทำลาย
Aurora North Light
โลกมีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มไว้ นักวิทยาศาสตร์ไม่แน่ใจว่าอะไรทำให้เกิดสนามแม่เหล็กที่มีคุณค่านี้ ในขณะที่ดาวข้างเคียงของเรา เช่น ดาวอังคาร ไม่มีสนามแม่เหล็กห่อหุ้ม ทำให้ชั้นบรรยากาศถูกกัดกร่อนไปจนหมด แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพบว่าสนามแม่เหล็กของโลกกำลังอ่อนแรงลงทุกวันๆ เมื่อสนามแม่เหล็กโลกหมดกำลังลง ดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ คงไม่ต่างอะไรจากดาวแดงอันร้อนระอุไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตขั้นสูง
การสร้างสรรค์ หรือ ความบังเอิญ
สสารทุกอย่างในโลกประกอบด้วยอะตอม ซึ่งอะตอมก็ประกอบด้วยโปรตอนและอิเล็กตรอน
โปรตอนมีขนาดเพียง 1×10−15 เมตร หากขนาดของโปรตอนคลาดเคลื่อนเพียง 0.02% จะไม่เสถียร นั่นหมายถึงจะไม่มี
Hydrogen เมื่อ ไม่มี Hydrogen ก็จะไม่มีน้ำ ถ้าไม่มีน้ำก็จะไม่มีบ่อเกิดแห่งชีวิต คลาดเคลื่อนเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวสรรพสิ่งทั้งหมดที่อุบัติขึ้นบนโลกก็จะ ไม่มีเกิดขึ้น
ดั่งคำกล่าวหนึ่งของทฤษฎีไร้ระเบีบย "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว"
ขนาดที่ลงตัวของดวงอาทิตย์
หากดวงอาทิตย์ใหญ่เกินไปจะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้การระเบิดส่งผลต่อดาวเคราะห์ที่เป็นบริวาร และถ้าดวงอาทิตย์เล็กกว่านี้โลกจะต้องเข้าไปอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเพื่อ รับความอบอุ่น ส่งผลให้โลกต้องหมุนรอบตัวเองช้าลง ซึ่งส่งผลรุนแรงมาก หาก 1 วันยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง อุณหภูมิกลางวันและกลางคืนจะต่างกันอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตไม่อาจเกิดขึ้นได้
โลกและระบบสุริยะของเรา อยู่ในตำแหน่งที่พอดีๆในทางช้างเผือก คือห่างจากใจกลางกาแล็กซีประมาณ 27,000 ปีแสง และอยู่ระหว่าง Spiral arm พอดีทำให้เราไม่ถูกชนโดยระบบสุริยะอื่นๆ และเราไม่โดนผลกระทบในใจกลางจากการระเบิดของ Super Nova ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในใจกลางกาแล็กซี นอกจากนี้ระบบสุริยะของเราทั้งระบบเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของแกนการหมุนของ ทางช้างเผือกพอดี
การโคจรของ โลกรอบดวงอาทิตย์กลมพอดี ทำให้อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก หากโคจรเป็นวงรีจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตไม่อาจก่อกำเนิดได้
ตำแหน่งของโลก
อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Life Zone ซึ่งหากอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เกินไปจะทำให้ร้อนเกินไป
หากอยู่ไกลเกินไปจะทำให้หนาวเย็นจนอยู่ไม่ได้
ขนาดที่พอดีๆของดวงอาทิตย์
หากดวงอาทิตย์ใหญ่เกินไปจะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้การระเบิดส่งผลต่อดาวเคราะห์ที่เป็นบริวาร และถ้าดวงอาทิตย์เล็กกว่านี้โลกจะต้องเข้าไปอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเพื่อ รับความอบอุ่น ส่งผลให้โลกต้องหมุนตัวเองช้าลง ซึ่งส่งผลรุนแรง หาก 1 วันยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง อุณหภูมิกลางวันและกลางคืนจะต่างกันอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตไม่อาจเกิดขึ้นได้
ทำไมโลกจึงต้องมีน้ำถึง 2 ใน 3
น้ำในมหาสมุทรช่วยในการ buffer ไม่ ให้อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนต่างกันมากจนเกินไป นอกจากนี้กระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็นที่ไหลเวียนในมหาสมุทร ทำให้อุณหภูมิในเขตศูนย์สูตรและขั้วโลกไม่ต่างกันมากเกินไป
แล้วถ้าโลกหมุนเร็วขึ้นล่ะจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าโลกหมุนเร็วขึ้นกว่านี้ 8 ชั่วโมง จะเกิดพายุพัดด้วยความเร็ว 500 ไมล์ต่อชั่วโมง เกิดขึ้นตลอดเวลา
ระบบสมดุลออกซิเจน
ออกซิเจน จะต้องถูกควบคุมเป็นอย่างดี ถ้าวัฏจักรของออกซิเจนสูญเสียไป ออกซิเจนจะหมดไปในเวลาเพียง 5,000 ปี สิ่งที่ควบคุมออกซิเจนคือ พืช สัตว์กินพืช และสัตว์กินเนื้อ
หากไม่มีสัตว์กินเนื้อ สัตว์กินพืชจะมีจำนวนมากเกินไป ทำให้พืชถูกกินจนหมดสิ้น
หากไม่มีสัตว์กินพืช พืชจะมีอยู่มากเกินไป และเผาผลาญคาร์บอนไดออกไซด์จนหมด
ดังนั้นปริมาณสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อต้องพอดี เพื่อรักษาปริมาณออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
คาร์บอน ไดซ์ออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกช่วยกักเก็บความร้อนเอาไว้ คาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไปโลกจะร้อนจัด คาร์บอนไดออกไซด์น้อยเกินไปโลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง
ทำไมโลกจึงมีขนาดเท่านี้ โลกของเราเล็กเกินไปไหม?
หากโลกเราใหญ่กว่านี้ 2 เท่า เราจะหนักขึ้น 4 เท่า
แต่ทำไมดาวพฤหัสจึงมีขนาดใหญ่กว่าโลกของเราหลายเท่า
ความใหญ่โตของดาวพฤหัสทำให้มีแรงดึงดูดมหาศาล ดึงดูดอุกาบาตรเอาไว้
หาก ไม่มีดาวพฤหัสโลกของเราจะมีโอกาสถูกดาวหาง อุกาบาต ดาวเคราะห์น้อย พุ่งเข้าชนมากถึง 10,000 เท่า ซึ่งหมายถึงว่าสิ่งมีชีวิตจะถูกทำลายจนหมดสิ้นเพราะอุกาบาต
God and science(2)
อัล เบิร์ต ไอนสไตน์ได้กล่าวไว้ว่า กฎความเร็วสัมพัทธ์ของนิวตันจะถูกต้องได้ต้องเอา ความเร็วแสงเข้ามาคำนวณด้วย ไอนสไตน์ ได้ชี้ให้เห็นว่าผลการทดลองของทั้งสองคนออกมาเป็นเช่นนั้นเพราะ เวลาไม่ใช่สิ่งที่สัมบูรณ์ เวลาสามารถยืดหดได้ เมื่อเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เวลาของเราจะเดินช้าลง ดังนั้นทำให้เราวัดความเร็วแสงได้คงเดิมเสมอ
ต่อมาทฤษฎีของไอนสไตน์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง
โดย นำนาฬิกาอะตอมที่มีความเที่ยงตรงสูงมาก 2 เรือน เรือนหนึ่งอยู่บนโลก อีกเรือนหนึ่งใส่ในจรวดที่มีความเร็วสูงมาก พบว่านาฬิกาที่อยู่ในจรวดเดินช้ากว่าเรือนที่อยู่บนโลก และเมื่อนำสารกัมมันตภาพรังสี ใส่ในจรวดที่เดินทางด้วยความเร็วสูง จะพบว่าการสลายตัวนั้นข้าลง แสดงให้เห็นว่าเวลาจะเดินช้าลงเมื่อเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
เช่น กันของนำฝาแฝดคนหนึ่งเดินทางไปในอวกาศด้วยความเร็วสูงเมื่อกลับมาบนโลกเขาจะ ยังหนุ่มกว่าคู่แฝดของเขา ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า twin paradox
ดังนั้นเมื่อมวลเป็นอนันต์ก็ต้องใช้พลังงานเป็นอนันต์เพื่อขับเคลื่อนมวล นั้น ตามทฤษฎีจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงได้ เวลาไม่เพียงยืดหดได้ แต่เวลายังถูกทำให้โค้งงอด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงด้วย ยิ่งแรงโน้มถ่วงมาก เวลาจะยิ่งเดินช้าลง
ดัง นั้นเมื่อแรกเริ่มขณะที่เอกภพกำลังรวมตัวกันเป็นก้อนกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์ กลางเป็นศูนย์ แรงโน้มถ่วงจะมหาศาลจนดึงเวลาให้โค้งงอไม่มีที่สิ้นสุดและไม่อาจเริ่มต้นได้ จนกระทั่งเมื่อเอกภพขยายตัวและแรงโน้มถ่วงลดลง เวลาจึงเริ่มต้นได้
ทฤษฎี สัมพันธภาพกล่าวว่า ไม่มีเวลาใดที่เป็นมาตรฐาน มนุษย์ทุกคนต่างมีเวลาเป็นของตนเอง ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ที่จุดใดและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าใด
ทุก วันนี้ เป็นที่ยอมรับแล้วว่าทั้งมวลและเวลาต่างก็ไม่สัมบูรณ์ แต่ดูเหมือนสิ่งที่สัมบูรณ์เพียงสิ่งเดียวในเอกภพคือ แสง
พระเจ้าตรัสว่า พระองค์เป็นแสงสว่าง วิวรณ์ 22:5
ดังนั้นผู้ที่ให้กำเนิดเวลานั้นมิได้อยู่ในกรอบของเวลา ผู้ให้กำเนิดเวลาย่อมดำรงอยู่ก่อนการกำเนิดเวลา
ในพระธรรม 2 ทิโมธี 1:9 ได้กล่าวไว้ว่า
และพระธรรมทิตัส 1:2
a faith and knowledge resting on the hope of eternal life, which God, who does not lie, promised before the beginning of time,
พระ เยซูทรงดำรงอยู่ก่อนการกำเนิดเวลา ดังนั้นพระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้น พระองค์ไม่มีจุดสิ้นสุด ดังนั้นไม่ต้องมีใครสร้างพระองค์ เช่นเดียวกับภาพวงกลม ถามว่าจุดเริ่มต้นของวงกลมอยู่ตรงไหน ไม่มีใครตอบได้
และ เนื่องจากมนุษย์ถูกกำหนดอยู่ในกรอบของ เวลา ดังนั้นเป็นการยากที่เราจะเข้าใจผู้อยู่เหนือ เวลา ได้ แต่แม้เป็นเรื่องยาก พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้มนุษย์สามารถทำความเข้าใจจากแง่มุมของพระองค์ได้ผ่าน ทางผู้เผยพระวจนะ ซึ่งก็คือพระธรรมอิสยาห์ พระธรรมอิสยาห์เป็นการมองจากมุมของพระเจ้า อิสยาห์บันทึกเหตุการณ์ต่างๆโดยไม่คำนึงถึงลำดับเวลาของเหตุการณ์
เพราะการลำดับเวลาในโลกไม่มีความหมายในสายพระเนตรของพระเจ้า ทุกสิ่งไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ปรากฏในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ
2 เปโตร 3:8
แต่ดูก่อนพวกที่รัก อย่าลืมความจริงข้อนี้เสีย คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปีและพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว
ทฤษฎีบิ๊กแบง
การระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่า supernova ทำให้ทฤษฎีบิ๊กแบงน่าเชื่อถือมากขึ้น
แต่การระเบิดนั้นเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือมีใครควบคุมอยู่?
บิ๊กแบงจะต้องเกิดในอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุด ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมที่สุด
หลังจากการระเบิดหากจักรวาลเย็นเร็วเกินไปจะประกอบด้วยแก๊สฮีเลียมทั้งหมด
และหากจักรวาลเย็นลงช้าเกินไปทั่วทั้งจักรวาลจะไม่มีแก๊สฮีเลียมเลย
การ ระเบิด ต้องระเบิดอย่างสมดุล หากการระเบิดรุนแรงเกินไป อนุภาคต่างๆจะกระจายออกไปหมด ไม่อาจรวมตัวกันเป็นระบบสุริยะต่างๆได้
หากการระเบิดปลดปล่อยพลังงานน้อยเกินไป เอกภพก็จะกลับมารวมตัวกันไม่แยกเป็นกาแล็กซีต่างๆอย่างทุกวันนี้
หากมีใครบอกว่าบ้านหลังหนึ่งเกิดขึ้นโดยการระเบิดจะมีใครเชื่อบ้าง?
กาแล็กซีที่มีระบบระเบียบยิ่งกว่าบ้านหรือเมืองใหญ่ๆ จะเกิดขึ้นจากการระเบิดโดยบังเอิญได้หรือ?
Genesis 1:1
In the beginning God created the heavens and the earth.
ปฐมกาล 1:1
ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
โลกของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วพอดีๆ ที่ 107,000 กม./ชม.
ความเร็วขนาดนี้ทำให้โลกสามารถรักษาระยะห่างจากดวงอาทิตย์ได้คงที่
หากเร็วกว่านี้โลกจะค่อยๆเคลื่อนห่างออกไปตั้งวงโคจรใหม่และหนาวเย็นจนอยู่ไม่ได้
หากช้ากว่านี้โลกจะค่อยๆเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และถูกดวงอาทิตย์ดูดเข้าไป
God and science
ทุก วันนี้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าพระเจ้าเป็นเรื่องงมงาย เป็นเพราะในอดีตกาลนั้นมนุษย์มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์น้อยมาก ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆที่เกิดขึ้น มนุษย์ในสมัยนั้นเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมีเทพเจ้าอยู่เบื้องหลัง แต่หลังจากที่วิทยาการ วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก้าวหน้ามากขึ้น ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความลี้ลับ ปรากฎการณ์ธรรมชาติต่างๆที่มนุษย์เคยให้เคารพนับถือ บูชา บัดนี้ ปรากฏการณ์เหล่านั้นเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติเท่านั้นเอง
มหาเทพซุส มหาเทพโอดิน
ทุก วันนี้เทพเจ้าต่างๆที่มนุษย์เคยนับถือ Zeus, Odin, Anubis เทพเจ้าต่างๆได้ตายไปจากความคิดของมนุษย์หมดแล้ว ความเชื่อในอดีตมากมายถูกสั่นคลอนด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ พระเจ้าของคริสเตียนถูกตั้งคำถามมากมาย พระเจ้ามีจริงหรือ? หลายคนคิดว่าวิทยาศาสตร์คือคำตอบของทุกสิ่ง “แต่” ความจริงก็คือ วิทยาศาสตร์ตอบได้แค่เพียงบางคำถามเท่านั้นเอง
ของทุกอย่างที่มีจุดเริ่มต้น ต้องมีเหตุ จักรวาลมีจุดเริ่มต้นจริงหรือ?
กฎของ Thermodynamic ปริมาณของสสารและพลังงานทั้งหมดในเอกภพมีปริมาณจำกัดคงที่
เรา ไม่สามารถสร้างสสารหรือพลังงานขึ้นใหม่ได้ สสาร และ พลังงาน อาจเปลี่ยนรูปไปมาแต่ไม่อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ถึงแม้ปริมาณของพลังงานจะคงเดิม แต่พลังงานที่ใช้งานได้จะลดลงเรื่อยๆ
เช่น เดียวกับเอกภพของเรา เมื่อดาวฤกษ์ต่างๆเผลาผลาญพลังงานจนหมด เอกภพก็จะสูญสลาย ทุกสิ่งมีจุดจบ มีจุดเริ่มต้น แต่ผู้ใดให้กำเนิดเอกภพ? คำถามนี้ยากเกินกว่าจินตนาการของมนุษย์จักขานไข
ก่อน หน้าเอกภพเป็นอย่างไร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าก่อนหน้านี้เอกภพเป็นกลุ่มก้อนที่รวมตัวกัน มีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นศูนย์ และมีอุณหภูมิสูงหลายล้านองศา ก่อนหน้าที่จะมีเอกภพ ไม่มีทั้งเอกภพ และไม่มีเวลา เอกภพและเวลาเกิดขึ้นพร้อมกัน เราไม่อาจเข้าใจว่าเวลาคืออะไรกันแน่ มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดจริงหรือ เวลาสัมบูรณ์หรือไม่
ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงทฤษฎีหนึ่งของเซอร์ไอแซค นิวตัน คือ ทฤษฎีความเร็วสัมพัทธ์
เช่น สมมุติว่ามีแก้ววางอยู่บนรถ คนบนรถจะเห็นว่าแก้วตั้งอยู่นิ่งๆ แต่คนที่อยู่นอกรถจะเห็นว่าแก้วกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากับความเร็ว ของรถ และหากเราออกไปอยู่ในยานอวกาศและมองกลับมาบนโลก เราจะเห็นว่าแก้วกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 107, 000 กม./ชม. เท่ากับความเร็วของโลก
ตกลง แก้วเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าใดกันแน่ ทุกคนต่างก็วัดความเร็วได้ถูกต้อง คำตอบคือตอบไม่ได้ครับ ทั้งนี้เป็นเรื่องของความเร็วสัมพัทธ์ อีก หนึ่งกรณีคือ รถตำรวจกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. และรถของผู้ร้ายกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. ตำรวจจะเห็นว่ารถผู้ร้ายกำลังวิ่งออกห่างจากรถตำรวจด้วยความเร็ว 20 กม./ชม. ขณะเดียวกันเราได้ขับรถสวนทางกับรถทั้งสองด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. เราจะเห็นว่ารถตำรวจกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 180 กม./ชม. และรถของผู้ร้ายกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 200 กม./ชม.
ดัง นั้นเมื่อเราวัดความเร็วของสิ่งใด จะวัดความเร็วได้เท่าไรนั้นต้องขึ้นกับว่าผู้วัดกำลังเคลื่อนที่ด้วยความ เร็วเท่าใดและกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด เมื่อวัดความเร็วต้องบอกว่าค่าที่ได้นั้นเทียบกับอะไร เพราะไม่มีอะไรที่ถือว่าหยุดนิ่งจริงๆ นีเป็นทฤษฎีของท่านเซอร์ไอแซค นิวตัน
อย่างไรก็ตามได้เกิดปัญหาขึ้นในปี 1887 เมื่อ Edward Morley และ Albert Michelson ได้ทดลองวัดความเร็วของแสงในทิศทางที่โลกเคลื่อนที่เข้าหาหรือเคลื่อนออกจาก กำเนิดของแสง ปรากฏว่าได้ความเร็วที่เท่ากัน ไม่ว่าอย่างไรก็วัดความเร็วแสงได้คงที่ที่ 186,000 ไมล์ต่อวินาที และไม่สามารถหาคำอธิบายที่เหมาะสมได้
Monday, March 30, 2009
trigonometry
ในปัจจุบัน มีฟังก์ชันตรีโกณมิติอยู่ 6 ฟังก์ชันที่นิยมใช้กันดังตารางข้างล่าง (สี่ฟังก์ชันสุดท้ายนิยามด้วยความสัมพันธ์กับฟังก์ชันอื่น แต่ก็สามารถนิยามด้วยเรขาคณิตได้)
ฟังก์ชัน ตัวย่อ ความสัมพันธ์
ไซน์ (Sine) ตัวย่อ sin
--------------------------------------------------------------------------------------------
โคไซน์ (Cosine) ตัวย่อ cos
------------------------------------------------------------------------------------------
แทนเจนต์ (Tangent) ตัวย่อ tan
(หรือ tg) ,
โคแทนเจนต์ (Cotangent) cot
(หรือ ctg หรือ ctn) \cot \theta = \frac{1}{\tan \theta} = \frac{\cos \theta}{\sin \theta} = \tan \left(\frac{\pi}{2} - \theta \right) \,
ซีแคนต์ (Secant) sec \sec \theta = \frac{1}{\cos \theta} = \csc \left(\frac{\pi}{2} - \theta \right) \,
โคซีแคนต์ (Cosecant) csc
(หรือ cosec) \csc \theta =\frac{1}{\sin \theta} = \sec \left(\frac{\pi}{2} - \theta \right) \,
ความสัมพันธ์ระหว่างฟังก์ชันเหล่านี้ อยู่ในบทความเรื่อง เอกลักษณ์ตรีโกณมิติ
ค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
Tuesday, March 24, 2009
วิธีหาพื้นที่แรเงา

20 คิดโดยสมมุดให้ r=รัศมีของวงกลมเล็กก่อน
ดังนั้นวงกลมขาวใหญ่จะได้พื้นที่=3.14*(3*r)2
วงกลมดำใหญ่จะได้พื้นที่=3.14*(2*r)2
วงกลมขาวหรือดำอันเล็ก=3.14*(r)2
ดังนั้นจากโจทย์ จะได้พื้นที่ที่ไม่ได้เเรเงา=40=พื้นที่วงกลมขาวใหญ่-พื้นที่วงกลมดำใหญ่-พื้นที่วงกลมดำเล้ก+2พื้นที่วงกลมขาวเล็ก
จะได้ r= 1.457
จากนั้นหาพื้นที่ที่เเรเงาจาก = พื้นที่วงกลมดำใหญ่-2พื้นที่วงกลมขาวเล็ก+พื้นที่วงกลมดำเล้ก
= 19.99 ก็ประมาณ 20 ตร.ซม.
** อันนี้เป็นวิธียาวๆนะครับ อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด เเต่ถ้าจะเอาเร็วหน่อยก็บางทีไม่ต้องคิดวงกลมบางรูป เเต่ขี้เกียจพิม+พิมไปเเล้วไม่รุ้จะอ่านเข้าใจกานป่าว