Can't find topic? Find it here

Monday, June 22, 2009

God and science(4)

ปริศนาการกำเนิดของสรรพสิ่ง แฝงความเชื่อทางคริสตศาสนา



หน้า: 4/4




ทฤษฎีการกำเนิดมนุษย์แฝงทัศนคติของศาสนาคริสต์

เป็นไปได้หรือที่มนุษย์เรามีความแตกต่างทางเชื้อสาย มีสีผิวที่แตกต่างกัน จะมีบรรพบุรุษคนเดียวกัน
จากการศึกษาของ Wells
ได้พบว่ามนุษย์ทั้งโลกมีบรรพบุรุษคนเดียวกันอยู่บริเวณทวีปแอฟริกา
รหัส พันธุกรรม ทำให้เราทราบว่า มีการอพยพออกจาก แหล่งกำเนิดดั้งเดิมของมนุษย์เป็นระยะๆ เข้าสู่ถิ่นฐานใหม่ ซึ่งก็คือจุดกำเนิดของชนชาติต่างๆ
นอกจากนี้จากการศึกษาของ Haigh และ Maynard Smith ก็พบสิ่งซึ่งตรงกันว่าผู้ชายทั้งโลก ไม่ว่าผิวสีใด มีบรรพบุรุษร่วมกันหนึ่งเดียวคือ Adam

พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น”

แล้ว พระเจ้าจึงทรงกระทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่ พระองค์ทรงนำกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้ผิวหนังแนบสนิทเข้าด้วยกันดังเดิม ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระเจ้าได้ทรงนำออกจากมนุษย์เพศชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง
แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น



Chromosome


การสร้างมนุษย์เพศหญิงขึ้นมาจากมนุษย์เพศชาย กับการสร้างมนุษย์เพศชายขึ้นมาจากมนุษย์เพศหญิงอันไหนง่ายกว่ากัน


ผู้หญิงมีโครโมโซม
XX ผู้ชายมีโครโมโซม XY ทำให้โครโมโซมเพศหญิงเป็น subset
ของเพศชาย
การสร้างมนุษย์เพศหญิงจึงง่ายกว่ามาก เพียงแค่นำ Chromosome X ออกมา และเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งตัวเท่านั้น
ดังนั้นการสร้างมนุษย์เพศชายก่อนแล้วจึงสร้างมนุษย์เพศหญิงจึงง่ายกว่ามาก




มนุษย์ทั้งโลกมาจากแม่คนเดียวจริงหรือ
การดูจาก Chromosome นั้นไม่สามารถวัดได้เพราะ ผู้หญิงนั้นมีโครโมโซม X 1 คู่ ตัวหนึ่งได้มาจากพ่อ อีกตัวได้มาจากแม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ได้ คือมีสิ่งหนึ่งที่มาจากแม่เสมอ นั่นคือ Mitochondrial DNA ซึ่งมีหน้าที่ทำหน้าเป็นปอดให้กับเซลล์
ใน Mitochondrial มี DNA ฝังอยู่ข้างใน ซึ่ง Mitochondrial นั้นมาจากผู้เป็นแม่เท่านั้น โดยติดมากับไข่ของแม่




Mitochondrial DNA


ด้วย สิ่งนี้เราจึงย้อนกลับไปหาฝ่ายแม่ได้ จากการศึกษาในปัจจุบัน ผลสรุปที่ออกมาคือ มนุษย์ทุกคนสืบเชื้อสายมาจากหญิงคนเดียวในอดีตนั่นคือ
เอวา
และเมื่อนำอัตราการเกิด การ
Mutation มาคำนวณเทียบกับความหลากหลายใน Mitochondrial DNA ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประมาณได้คร่าวๆว่า เอวา มีชีวิตอยู่เมื่อ 6,500 – 8,000 ปีก่อน


จริง หรือ? ที่มนุษย์ทั้งโลกถือกำเนิดขึ้นจากมนุษย์เพียงคู่เดียว คำถามที่ยังคงเป็นคำถามไร้ซึ่งคำตอบ ปริศนาดำมืดบนโลกยังมีอีกมากมาย วิทยาศาสตร์ใช่เป็นคำตอบของทุกสิ่ง กรอบความคิดที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่ออธิบายความเข้าใจที่ยังอยู่ห่างไกลนัก

God and science(3)

ทำไมโลกจึงมีฤดูกาล
ฤดูกาลเกิดขึ้นเพราะโลกของเราเอียง 23 องศา ก่อให้เกิดความงดงามของฤดูกาลและความหลากหลายของชีวิต

ดวงจันทร์มีไว้ทำอะไร
?

ดวง จันทร์ถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาแกนโลกให้สมดุล เพราะความที่ขนาดของดวงจันทร์มีขนาดพอดีๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปทำให้เกิดความสมดุลที่แกนโลก หากไม่มีดวงจันทร์แกนโลกของเราอาจจะขยับ และถ้าแกนโลกขยับ จะก่อให้เกิดภัยพิบัติทางฤดูกาลอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ดวงจันทร์ยังทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น น้ำลง ปรากฎการณ์นี้ช่วยเติม O2 ให้กับมหาสมุทร และทำให้สัตว์ทะเลดำรงชีพอยู่ได้ และเป็นความสำคัญอย่างสูงต่อห่วงโซ่อาหารทั้งโลก

ความมหัศจรรย์ของน้ำ

เมื่อ อุณหภูมิของน้ำลดลง มันจะจมลงข้างล่าง และเมื่อมันเย็นจัดจนกลายเป็นน้ำแข็งมันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ เพื่อรับความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ ปรากฏการณ์นี้ช่วยให้ก้นทะเลไม่เป็นน้ำแข็ง และสัตว์น้ำรอดชีวิต
แต่หากน้ำเย็นจนเป็นน้ำแข็งและยิ่งจมลง มหาสมุทรจะเริ่มเย็นจากข้างล่างขึ้นมาเรื่อยๆและสัตว์น้ำก็จะอยู่ไม่ได้


บรรยากาศของโลก



Atmosphere


โลก มีชั้นบรรยากาศหนา 25 กิโลเมตร พอดีๆ ซึ่งทำให้อุกาบาตที่ตกลงมาถูกเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศก่อนพุ่งชนโลก และเป็นเกราะป้องกันรังสีต่างๆ และทุกครั้งที่มีฟ้าผ่า จะทำให้ ไนโตรเจน รวมตัวกับ ออกซิเจน และตกลงสู่พื้นดินพร้อมกับฝน เป็นปุ๋ยอย่างดีให้กับพืช ดังนั้นฟ้าผ่าจึงไม่ได้มีไว้สาบานเท่านั้น ^^
หากชั้นบรรยากาศของโลกเบาบางกว่านี้จะทำให้ป้องกันรังสีและอุกาบาตได้ไม่ดี
หากชั้นบรรยากาศของโลกหนากว่านี้จะทำให้โลกกักเก็บความร้อนมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถอยู่ได้




ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นบนดวงอาทิตย์จะเกิด
Solar Wind พัด เข้าสู่โลกด้วยความเร็ว 400 กิโลเมตรต่อวินาที พายุสุริยะจะกัดกร่อนชั้นบรรยากาศไปเรื่อยๆ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกจะถูกทำลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยป้องกันเราจากพายุสุริยะ นั่นคือสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งก่อให้เกิด Van Allen radiation belt ซึ่งป้องกันโลกจากพายุสุริยะ ทำให้เกิดการหักเหพัดพายุสุริยะไม่ให้ Solar Wind พัดเข้าสู่โลกโดยตรง และสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่งดงามนั่นก็คือ แสงเหนือหรือแสงใต้ (ขึ้นอยู่กับว่าเกิดขึ้นบริเวณขั้วโลกซีกเหนือหรือใต้) และทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกไม่ถูกทำลาย


Aurora North Light


โลกมีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มไว้ นักวิทยาศาสตร์ไม่แน่ใจว่าอะไรทำให้เกิดสนามแม่เหล็กที่มีคุณค่านี้ ในขณะที่ดาวข้างเคียงของเรา เช่น ดาวอังคาร ไม่มีสนามแม่เหล็กห่อหุ้ม ทำให้ชั้นบรรยากาศถูกกัดกร่อนไปจนหมด แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพบว่าสนามแม่เหล็กของโลกกำลังอ่อนแรงลงทุกวันๆ เมื่อสนามแม่เหล็กโลกหมดกำลังลง ดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ คงไม่ต่างอะไรจากดาวแดงอันร้อนระอุไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตขั้นสูง


การสร้างสรรค์ หรือ ความบังเอิญ

สสารทุกอย่างในโลกประกอบด้วยอะตอม ซึ่งอะตอมก็ประกอบด้วยโปรตอนและอิเล็กตรอน

โปรตอนมีขนาดเพียง 1×1015 เมตร หากขนาดของโปรตอนคลาดเคลื่อนเพียง 0.02% จะไม่เสถียร นั่นหมายถึงจะไม่มี


Hydrogen เมื่อ ไม่มี Hydrogen ก็จะไม่มีน้ำ ถ้าไม่มีน้ำก็จะไม่มีบ่อเกิดแห่งชีวิต คลาดเคลื่อนเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวสรรพสิ่งทั้งหมดที่อุบัติขึ้นบนโลกก็จะ ไม่มีเกิดขึ้น
ดั่งคำกล่าวหนึ่งของทฤษฎีไร้ระเบีบย "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว"



ขนาดที่ลงตัวของดวงอาทิตย์

หากดวงอาทิตย์ใหญ่เกินไปจะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้การระเบิดส่งผลต่อดาวเคราะห์ที่เป็นบริวาร และถ้าดวงอาทิตย์เล็กกว่านี้โลกจะต้องเข้าไปอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเพื่อ รับความอบอุ่น ส่งผลให้โลกต้องหมุนรอบตัวเองช้าลง ซึ่งส่งผลรุนแรงมาก หาก 1 วันยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง อุณหภูมิกลางวันและกลางคืนจะต่างกันอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตไม่อาจเกิดขึ้นได้


ลกและระบบสุริยะของเรา อยู่ในตำแหน่งที่พอดีๆในทางช้างเผือก คือห่างจากใจกลางกาแล็กซีประมาณ 27,000 ปีแสง และอยู่ระหว่าง Spiral arm พอดีทำให้เราไม่ถูกชนโดยระบบสุริยะอื่นๆ และเราไม่โดนผลกระทบในใจกลางจากการระเบิดของ Super Nova ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในใจกลางกาแล็กซี นอกจากนี้ระบบสุริยะของเราทั้งระบบเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของแกนการหมุนของ ทางช้างเผือกพอดี

การโคจรของ โลกรอบดวงอาทิตย์กลมพอดี ทำให้อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก หากโคจรเป็นวงรีจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตไม่อาจก่อกำเนิดได้


ตำแหน่งของโลก

อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Life Zone ซึ่งหากอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เกินไปจะทำให้ร้อนเกินไป
หากอยู่ไกลเกินไปจะทำให้หนาวเย็นจนอยู่ไม่ได้






ขนาดที่พอดีๆของดวงอาทิตย์

หากดวงอาทิตย์ใหญ่เกินไปจะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้การระเบิดส่งผลต่อดาวเคราะห์ที่เป็นบริวาร และถ้าดวงอาทิตย์เล็กกว่านี้โลกจะต้องเข้าไปอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเพื่อ รับความอบอุ่น ส่งผลให้โลกต้องหมุนตัวเองช้าลง ซึ่งส่งผลรุนแรง หาก 1 วันยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง อุณหภูมิกลางวันและกลางคืนจะต่างกันอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตไม่อาจเกิดขึ้นได้

ทำไมโลกจึงต้องมีน้ำถึง 2 ใน 3
น้ำในมหาสมุทรช่วยในการ buffer ไม่ ให้อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนต่างกันมากจนเกินไป นอกจากนี้กระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็นที่ไหลเวียนในมหาสมุทร ทำให้อุณหภูมิในเขตศูนย์สูตรและขั้วโลกไม่ต่างกันมากเกินไป


แล้วถ้าโลกหมุนเร็วขึ้นล่ะจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าโลกหมุนเร็วขึ้นกว่านี้ 8 ชั่วโมง จะเกิดพายุพัดด้วยความเร็ว 500 ไมล์ต่อชั่วโมง เกิดขึ้นตลอดเวลา


ระบบสมดุลออกซิเจน

ออกซิเจน จะต้องถูกควบคุมเป็นอย่างดี ถ้าวัฏจักรของออกซิเจนสูญเสียไป ออกซิเจนจะหมดไปในเวลาเพียง 5,000 ปี สิ่งที่ควบคุมออกซิเจนคือ พืช สัตว์กินพืช และสัตว์กินเนื้อ
หากไม่มีสัตว์กินเนื้อ สัตว์กินพืชจะมีจำนวนมากเกินไป ทำให้พืชถูกกินจนหมดสิ้น
หากไม่มีสัตว์กินพืช พืชจะมีอยู่มากเกินไป และเผาผลาญคาร์บอนไดออกไซด์จนหมด
ดังนั้นปริมาณสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อต้องพอดี เพื่อรักษาปริมาณออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
คาร์บอน ไดซ์ออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกช่วยกักเก็บความร้อนเอาไว้ คาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไปโลกจะร้อนจัด คาร์บอนไดออกไซด์น้อยเกินไปโลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง



ทำไมโลกจึงมีขนาดเท่านี้
โลกของเราเล็กเกินไปไหม?
หากโลกเราใหญ่กว่านี้ 2 เท่า เราจะหนักขึ้น 4 เท่า
แต่ทำไมดาวพฤหัสจึงมีขนาดใหญ่กว่าโลกของเราหลายเท่า
ความใหญ่โตของดาวพฤหัสทำให้มีแรงดึงดูดมหาศาล ดึงดูดอุกาบาตรเอาไว้




หาก ไม่มีดาวพฤหัสโลกของเราจะมีโอกาสถูกดาวหาง อุกาบาต ดาวเคราะห์น้อย พุ่งเข้าชนมากถึง 10,000 เท่า ซึ่งหมายถึงว่าสิ่งมีชีวิตจะถูกทำลายจนหมดสิ้นเพราะอุกาบาต

God and science(2)







อัล เบิร์ต ไอนสไตน์ได้กล่าวไว้ว่า กฎความเร็วสัมพัทธ์ของนิวตันจะถูกต้องได้ต้องเอา ความเร็วแสงเข้ามาคำนวณด้วย ไอนสไตน์ ได้ชี้ให้เห็นว่าผลการทดลองของทั้งสองคนออกมาเป็นเช่นนั้นเพราะ เวลาไม่ใช่สิ่งที่สัมบูรณ์ เวลาสามารถยืดหดได้ เมื่อเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เวลาของเราจะเดินช้าลง ดังนั้นทำให้เราวัดความเร็วแสงได้คงเดิมเสมอ

ต่อมาทฤษฎีของไอนสไตน์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง
โดย นำนาฬิกาอะตอมที่มีความเที่ยงตรงสูงมาก 2 เรือน เรือนหนึ่งอยู่บนโลก อีกเรือนหนึ่งใส่ในจรวดที่มีความเร็วสูงมาก พบว่านาฬิกาที่อยู่ในจรวดเดินช้ากว่าเรือนที่อยู่บนโลก และเมื่อนำสารกัมมันตภาพรังสี ใส่ในจรวดที่เดินทางด้วยความเร็วสูง จะพบว่าการสลายตัวนั้นข้าลง แสดงให้เห็นว่าเวลาจะเดินช้าลงเมื่อเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
เช่น กันของนำฝาแฝดคนหนึ่งเดินทางไปในอวกาศด้วยความเร็วสูงเมื่อกลับมาบนโลกเขาจะ ยังหนุ่มกว่าคู่แฝดของเขา ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า
twin paradox




ยิ่ง เข้าใกล้ความเร็วแสงมากเท่าใดเวลาจะเดินช้าลงๆ และที่ความเร็วแสงเวลาจะหยุดนิ่ง เราจะไม่แก่ลงเลย แล้วเราจะสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงได้มั้ย คำตอบคือไม่ได้ ทุกวันนี้พบว่าแม้แต่มวลก็ไม่สัมบูรณ์ เมื่อสสารเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว มวลของมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีความเร็ว 0.9c มวลของสสารจะเพิ่มเป็นเท่าตัว และที่ความเร็ว 1.0c มวลของสสารจะเพิ่มเป็นอนันต์


ดังนั้นเมื่อมวลเป็นอนันต์ก็ต้องใช้พลังงานเป็นอนันต์เพื่อขับเคลื่อนมวล นั้น ตามทฤษฎีจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงได้ เวลาไม่เพียงยืดหดได้ แต่เวลายังถูกทำให้โค้งงอด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงด้วย ยิ่งแรงโน้มถ่วงมาก เวลาจะยิ่งเดินช้าลง

ดัง นั้นเมื่อแรกเริ่มขณะที่เอกภพกำลังรวมตัวกันเป็นก้อนกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์ กลางเป็นศูนย์ แรงโน้มถ่วงจะมหาศาลจนดึงเวลาให้โค้งงอไม่มีที่สิ้นสุดและไม่อาจเริ่มต้นได้ จนกระทั่งเมื่อเอกภพขยายตัวและแรงโน้มถ่วงลดลง เวลาจึงเริ่มต้นได้


ทฤษฎี สัมพันธภาพกล่าวว่า ไม่มีเวลาใดที่เป็นมาตรฐาน มนุษย์ทุกคนต่างมีเวลาเป็นของตนเอง ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ที่จุดใดและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าใด

ทุก วันนี้ เป็นที่ยอมรับแล้วว่าทั้งมวลและเวลาต่างก็ไม่สัมบูรณ์ แต่ดูเหมือนสิ่งที่สัมบูรณ์เพียงสิ่งเดียวในเอกภพคือ แสง
พระเจ้าตรัสว่า พระองค์เป็นแสงสว่าง วิวรณ์ 22
:5


ดังนั้นผู้ที่ให้กำเนิดเวลานั้นมิได้อยู่ในกรอบของเวลา ผู้ให้กำเนิดเวลาย่อมดำรงอยู่ก่อนการกำเนิดเวลา

ในพระธรรม 2 ทิโมธี 1:9 ได้กล่าวไว้ว่า
who has saved us and called us to a holy life—not because of anything we have done but because of his own purpose and grace. This grace was given us in Christ Jesus before the beginning of time,

และพระธรรมทิตัส 1:2
a faith and knowledge resting on the hope of eternal life, which God, who does not lie, promised before the beginning of time,





พระ เยซูทรงดำรงอยู่ก่อนการกำเนิดเวลา ดังนั้นพระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้น พระองค์ไม่มีจุดสิ้นสุด ดังนั้นไม่ต้องมีใครสร้างพระองค์ เช่นเดียวกับภาพวงกลม ถามว่าจุดเริ่มต้นของวงกลมอยู่ตรงไหน ไม่มีใครตอบได้

และ เนื่องจากมนุษย์ถูกกำหนดอยู่ในกรอบของ เวลา ดังนั้นเป็นการยากที่เราจะเข้าใจผู้อยู่เหนือ เวลา ได้ แต่แม้เป็นเรื่องยาก พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้มนุษย์สามารถทำความเข้าใจจากแง่มุมของพระองค์ได้ผ่าน ทางผู้เผยพระวจนะ ซึ่งก็คือพระธรรมอิสยาห์ พระธรรมอิสยาห์เป็นการมองจากมุมของพระเจ้า อิสยาห์บันทึกเหตุการณ์ต่างๆโดยไม่คำนึงถึงลำดับเวลาของเหตุการณ์


เพราะการลำดับเวลาในโลกไม่มีความหมายในสายพระเนตรของพระเจ้า ทุกสิ่งไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ปรากฏในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ
2 เปโตร
3:8

แต่ดูก่อนพวกที่รัก อย่าลืมความจริงข้อนี้เสีย คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปีและพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว



ทฤษฎีบิ๊กแบง

การระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่า supernova ทำให้ทฤษฎีบิ๊กแบงน่าเชื่อถือมากขึ้น
แต่การระเบิดนั้นเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือมีใครควบคุมอยู่?




บิ๊กแบงจะต้องเกิดในอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุด ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมที่สุด
หลังจากการระเบิดหากจักรวาลเย็นเร็วเกินไปจะประกอบด้วยแก๊สฮีเลียมทั้งหมด
และหากจักรวาลเย็นลงช้าเกินไปทั่วทั้งจักรวาลจะไม่มีแก๊สฮีเลียมเลย

การ ระเบิด ต้องระเบิดอย่างสมดุล หากการระเบิดรุนแรงเกินไป อนุภาคต่างๆจะกระจายออกไปหมด ไม่อาจรวมตัวกันเป็นระบบสุริยะต่างๆได้
หากการระเบิดปลดปล่อยพลังงานน้อยเกินไป เอกภพก็จะกลับมารวมตัวกันไม่แยกเป็นกาแล็กซีต่างๆอย่างทุกวันนี้
หากมีใครบอกว่าบ้านหลังหนึ่งเกิดขึ้นโดยการระเบิดจะมีใครเชื่อบ้าง?
กาแล็กซีที่มีระบบระเบียบยิ่งกว่าบ้านหรือเมืองใหญ่ๆ จะเกิดขึ้นจากการระเบิดโดยบังเอิญได้หรือ?

Genesis 1:1

In the beginning God created the heavens and the earth.
ปฐมกาล 1:
1
ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก



โลกของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วพอดีๆ ที่ 107,000 กม./ชม.
ความเร็วขนาดนี้ทำให้โลกสามารถรักษาระยะห่างจากดวงอาทิตย์ได้คงที่
หากเร็วกว่านี้โลกจะค่อยๆเคลื่อนห่างออกไปตั้งวงโคจรใหม่และหนาวเย็นจนอยู่ไม่ได้
หากช้ากว่านี้โลกจะค่อยๆเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และถูกดวงอาทิตย์ดูดเข้าไป

God and science



ทุก วันนี้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าพระเจ้าเป็นเรื่องงมงาย เป็นเพราะในอดีตกาลนั้นมนุษย์มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์น้อยมาก ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆที่เกิดขึ้น มนุษย์ในสมัยนั้นเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมีเทพเจ้าอยู่เบื้องหลัง แต่หลังจากที่วิทยาการ วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก้าวหน้ามากขึ้น ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความลี้ลับ ปรากฎการณ์ธรรมชาติต่างๆที่มนุษย์เคยให้เคารพนับถือ บูชา บัดนี้ ปรากฏการณ์เหล่านั้นเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติเท่านั้นเอง



มหาเทพซุส
มหาเทพโอดิน


ทุก วันนี้เทพเจ้าต่างๆที่มนุษย์เคยนับถือ Zeus, Odin, Anubis เทพเจ้าต่างๆได้ตายไปจากความคิดของมนุษย์หมดแล้ว ความเชื่อในอดีตมากมายถูกสั่นคลอนด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ พระเจ้าของคริสเตียนถูกตั้งคำถามมากมาย พระเจ้ามีจริงหรือ? หลายคนคิดว่าวิทยาศาสตร์คือคำตอบของทุกสิ่ง “แต่”
ความจริงก็คือ วิทยาศาสตร์ตอบได้แค่เพียงบางคำถามเท่านั้นเอง


ของทุกอย่างที่มีจุดเริ่มต้น ต้องมีเหตุ จักรวาลมีจุดเริ่มต้นจริงหรือ?

กฎของ
Thermodynamic
ปริมาณของสสารและพลังงานทั้งหมดในเอกภพมีปริมาณจำกัดคงที่
เรา ไม่สามารถสร้างสสารหรือพลังงานขึ้นใหม่ได้ สสาร และ พลังงาน อาจเปลี่ยนรูปไปมาแต่ไม่อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ถึงแม้ปริมาณของพลังงานจะคงเดิม แต่พลังงานที่ใช้งานได้จะลดลงเรื่อยๆ
เช่น เดียวกับเอกภพของเรา เมื่อดาวฤกษ์ต่างๆเผลาผลาญพลังงานจนหมด เอกภพก็จะสูญสลาย ทุกสิ่งมีจุดจบ มีจุดเริ่มต้น แต่ผู้ใดให้กำเนิดเอกภพ? คำถามนี้ยากเกินกว่าจินตนาการของมนุษย์จักขานไข


ก่อน หน้าเอกภพเป็นอย่างไร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าก่อนหน้านี้เอกภพเป็นกลุ่มก้อนที่รวมตัวกัน มีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นศูนย์ และมีอุณหภูมิสูงหลายล้านองศา ก่อนหน้าที่จะมีเอกภพ ไม่มีทั้งเอกภพ และไม่มีเวลา เอกภพและเวลาเกิดขึ้นพร้อมกัน เราไม่อาจเข้าใจว่าเวลาคืออะไรกันแน่ มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดจริงหรือ เวลาสัมบูรณ์หรือไม่



ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงทฤษฎีหนึ่งของเซอร์ไอแซค นิวตัน คือ ทฤษฎีความเร็วสัมพัทธ์
เช่น สมมุติว่ามีแก้ววางอยู่บนรถ คนบนรถจะเห็นว่าแก้วตั้งอยู่นิ่งๆ แต่คนที่อยู่นอกรถจะเห็นว่าแก้วกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากับความเร็ว ของรถ และหากเราออกไปอยู่ในยานอวกาศและมองกลับมาบนโลก เราจะเห็นว่าแก้วกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 107,
000 กม./ชม. เท่ากับความเร็วของโลก


ตกลง แก้วเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าใดกันแน่ ทุกคนต่างก็วัดความเร็วได้ถูกต้อง คำตอบคือตอบไม่ได้ครับ ทั้งนี้เป็นเรื่องของความเร็วสัมพัทธ์
อีก หนึ่งกรณีคือ รถตำรวจกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. และรถของผู้ร้ายกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. ตำรวจจะเห็นว่ารถผู้ร้ายกำลังวิ่งออกห่างจากรถตำรวจด้วยความเร็ว 20 กม./ชม. ขณะเดียวกันเราได้ขับรถสวนทางกับรถทั้งสองด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. เราจะเห็นว่ารถตำรวจกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 180 กม./ชม. และรถของผู้ร้ายกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 200 กม./ชม.


ดัง นั้นเมื่อเราวัดความเร็วของสิ่งใด จะวัดความเร็วได้เท่าไรนั้นต้องขึ้นกับว่าผู้วัดกำลังเคลื่อนที่ด้วยความ เร็วเท่าใดและกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด เมื่อวัดความเร็วต้องบอกว่าค่าที่ได้นั้นเทียบกับอะไร เพราะไม่มีอะไรที่ถือว่าหยุดนิ่งจริงๆ นีเป็นทฤษฎีของท่านเซอร์ไอแซค นิวตัน


อย่างไรก็ตามได้เกิดปัญหาขึ้นในปี 1887 เมื่อ
Edward Morley และ Albert Michelson ได้ทดลองวัดความเร็วของแสงในทิศทางที่โลกเคลื่อนที่เข้าหาหรือเคลื่อนออกจาก กำเนิดของแสง ปรากฏว่าได้ความเร็วที่เท่ากัน ไม่ว่าอย่างไรก็วัดความเร็วแสงได้คงที่ที่ 186,
000 ไมล์ต่อวินาที และไม่สามารถหาคำอธิบายที่เหมาะสมได้

feed

Add to Google Reader or Homepage